เทศน์บนศาลา

เส้นทางธรรม

๘ พ.ค. ๒๕๕๒

 

เส้นทางธรรม

พระอาจารย์สงบ  มนสฺสนฺโต

 

เทศน์บนศาลา วันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๒

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

เรื่องของโลกจบไป  เรื่องของธรรม  เวลาโลกเขาแสวงหาธรรมกันเห็นไหม  เขาก็ว่าเขาทำของเขาได้  เขาทำแล้วได้ผลประโยชน์ของเขา  เราไปแสวงหาธรรมของเรา  ครูบาอาจารย์ท่านบอกเลย  ไม่มีสิ่งใดสัมผัสธรรมได้  ไม่มี  สิ่งที่สัมผัสธรรมได้  ทางวิชาการทุกอย่างสัมผัสธรรมไม่ได้  ไม่มี  สิ่งที่สัมผัสธรรมได้คือหัวใจของมนุษย์เท่านั้น  ความรู้สึกอันนี้มันสัมผัสได้  สุขมันก็สัมผัสว่าสุข  ทุกข์มันก็สัมผัสว่าทุกข์  แล้วมันมีกิเลสอยู่นี่  มันก็รู้อยู่ในตัวของมันเอง แล้วถ้ามันสละของมันได้  มันทำของมันได้ มันต้องมีเหตุมีผล  ไม่ได้ ของสิ่งนี้จะไม่มีเหตุมีผลแล้วลอยมาจากฟ้า  เป็นไปไม่ได้  มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ 

แต่ในเมื่อเรามีร่างกายกับจิตใจ  ร่างกายเห็นไหมมันเป็นรูปธรรม  สิ่งที่เขาพิสูจน์กันได้มันเป็นรูปธรรม  ปัจจัยเครื่องอาศัย  ของที่โลกอาศัยอยู่  เราก็ต้องอาศัย  ชีวิตเรา  เราอยู่ได้อย่างไร  เราอยู่ได้ด้วยอาหารเห็นไหม  อาหารในวัฏฏะ  อาหาร   กวฬิงการาหาร ในคำข้าวของมนุษย์  อาหารของเทวดา  เทวดาเขากินอาหารอย่างไร  นี่ไงเวลาเขาทำกันเห็นไหม  บอกเวลาเราทำบุญเราต้องใส่น้ำใส่อะไร  เวลาเราตายไปเป็นเทวดานี่เขากินน้ำทิพย์  อาหารของเขาก็เป็นอาหารทิพย์  เขาไม่เป็นอย่างนี้หรอก  อาหารของเทวดา  อาหารของพรหมเห็นไหม  อาหารของวัฏฏะ 

สิ่งที่ปัจจัยเครื่องอาศัย  ในเมื่อเรามีร่างกายก็มีจิตใจ แต่ร่างกายนี่ทางวิทยาศาสตร์ ที่มันเจริญขึ้นมาเห็นไหม  ความดำรงชีวิตของเราสะดวกขึ้น  แต่ถ้าปัญญาของเรา  เราไปคิดของเราเห็นไหม  ว่าสิ่งที่เราเข้าใจ  มันเป็นธรรมไหม  มันไม่เป็นหรอก  มันไม่เป็นธรรมเลย  ปริยัติ  ปฏิบัติ  ปฏิเวธ  ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะ  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเห็นไหม  เส้นทางธรรม 

เส้นทางธรรม กว่าที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะตรัสรู้ธรรมขึ้นมา  พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา  เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลยว่า เรา หมายถึงว่าตัวองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรานี่อายุแค่  ๘๐ ปี  เรานี้สร้างบุญญาธิการมาน้อยเห็นไหม แล้วเราวางศาสนาไว้อีก ๕,๐๐๐ ปี  พระกัสสปะ  พระโกนาคมนะ องค์ก่อนๆ เห็นไหมมีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี     คำว่า ๘๐,๐๐๐ กับ ๕,๐๐๐ เห็นไหม มันต่างกันขนาดไหน 

แล้วชีวิต  ๘๐ ปี มันเกิดมาจากไหน  นี่เส้นทางธรรม  เส้นทางธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ธรรมขึ้นมา  เห็นไหมเป็นพระโพธิสัตว์  สิ่งที่แสวงหา สิ่งที่กระทำมา  สิ่งที่เส้นทางธรรม  ที่สร้างมาขนาดไหน  มาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ  พอเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะเห็นไหม  สิ่งที่ดำรงชีวิตอยู่ ดำรงชีวิตอยู่ด้วยบุญญาธิการนะ  สร้างบุญมาเห็นไหมดูสิ  ในทางพยากรณ์ของพรามณ์เขาบอกว่า  ถ้าไม่ได้ออกบวชจะได้เป็นจักรพรรดิ

คำว่าจักรพรรดิ  ดูสิเราเกิดมาเราอยากจะมีศรัทธาความมั่นคงไหม  เราอยากจะมีชื่อเสียงทางสังคมไหม  ทุกคนอยากทั้งนั้น  นี่บุญเห็นไหม  เส้นทางบุญที่มันส่งมา  เส้นทางบุญที่ส่งมาแล้วนี่  ถ้าไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ  เส้นทางบุญที่ส่งมา  อย่างเรานี่เป็นชาวพุทธ  กึ่งพุทธกาลพระพุทธเจ้าบอกว่าศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง เส้นทางบุญเราส่งมา เราส่งมาเห็นไหมเพราะเราส่งมา  ดูสิเวลาประพฤติปฏิบัติกัน  โอกาสนะ ทางโลกเขาขอโอกาสกันทำคุณงามความดี  แต่โอกาสของเราที่จะพ้นจากกิเลส  เรามีโอกาสมาก 

เรามีโอกาสเพราะอะไร  เพราะว่าสิ่งที่เราทำไป  ผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะ  ประพฤติปฏิบัติไป  ครูบาอาจารย์ถ้าไม่มี  เราแสวงหาเองเห็นไหม  ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ไม่มีพระปัจเจกพระพุทธเจ้า  ตรัสรู้เองโดยชอบไม่ได้  สาวก  สาวกะ  พวกเรานี่ไม่มีทาง  เป็นไปไม่ได้เลย  ที่ไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  แล้วเราจะปฏิบัติกันถึงที่สุดแห่งทุกข์  เป็นไปไม่ได้เลย  มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ 

แต่ในปัจจุบันนี้เราเกิดมากึ่งพุทธกาล  ศาสนาเจริญอีกหนหนึ่ง ศาสนาเจริญอีกหนหนึ่ง  เจริญที่ไหน  เราไม่มอง  เจริญที่วัตถุ เจริญทางวิชาการ  ไม่ต้องมอง  เพราะเวลากรรมฐานเราเห็นไหม  เวลาพระบวชใหม่ในอุปัชฌาย์ ถ้าไม่ให้  เกศา โลมา  นขา ทันตา  ตโจ  รุกขมูลเสนาสนัง  การบวชนั้นเป็นพระมาไม่ได้  เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ  เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติครูบาอาจารย์ของเรา  เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ 

ไอ้ผม  ขน  เล็บ  ฟัน  หนัง  ของเรา  ของมนุษย์ระหว่างเพศตรงข้ามนี่  สิ่งนี้ทำให้เราอยู่ในโอฆะ  ทำให้เราวนอยู่ในวัฏฏะ  สิ่งนี้เห็นไหม  โจทย์มันมีอยู่แล้วไง  โจทย์มันมีอยู่แล้วไง  เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ  นี่กรรมฐาน ๕ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ  สิ่งที่ปฏิบัติเพราะอะไร  เพราะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เส้นทางธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาประพฤติปฏิบัตินะ  เวลาไปเรียนกับเจ้าลัทธิต่างๆ เห็นไหม เพราะโดยสัญชาตญาณของคนทุกๆ คน เราจะออกจะทำการสิ่งใด  ทางวิชาการเขามีอยู่แล้ว  เราต้องศึกษาตรงนั้นมา เราจะไปเริ่มต้นจากศูนย์ใครจะทำ  ก็ต้องไปแสวงหาทั้งนั้น แต่ที่ว่าสาวก  สาวกะอย่างเรา  สาวก  สาวกะถ้าปฏิบัติเองโดยไม่มีศาสนา  ไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เป็นไปไม่ได้ 

เป็นไปไม่ได้เพราะเจ้าชายสิทธัตถะไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ  เจ้าลัทธิต่าง ๆ ก็บอกเลยว่า เขาเป็นพระศาสดาทั้งนั้น  เป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น หันของเขาทั้งนั้นล่ะ หันของโลกไง  พระพุทธเจ้าเจ้าชายสิทธัตถะไปศึกษากับใครก็แล้วแต่เห็นไหม  ศึกษาทุกลัทธิ  ทุกวิธีการที่ทำอยู่  จนอาฬารดาบสรับประกันเลยว่าเจ้าชายสิทธัตถะมีความรู้เท่าเรา  สั่งสอนได้เหมือนกัน  ขนาดว่าอาจารย์ยอมรับแล้วนะ  เจ้าชายสิทธัตถะยังปฏิเสธเลย  เพราะอะไร  เพราะว่าเข้าฌานสมาบัติขนาดไหน  เวลาจิตมันเสื่อมออกมามันไม่อยู่ในฌาน  มันก็มีความทุกข์เหมือนกันนี่แหละ  มันมีความรู้สึกปกติ

เพราะคนมีวุฒิภาวะเห็นไหม  ขนาดมีคนส่งเสริม  มีคนยอมรับ  ท่านยังไม่เห็นด้วยเลย  แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติเห็นไหม  เพราะสิ่งที่เขาทำกันอยู่  เขาไม่ได้สร้างบุญญาธิการมา  สร้างมาไม่ถึง  มันเป็นไปไม่ได้  มันเป็นไปไม่ได้  มันไม่มีสิ่งที่รองรับสถานะ รองรับธรรมอันนั้น  เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาศึกษาค้นกลับมาเห็นไหม ค้นกลับมามันทางไปไม่ได้แล้ว  ไม่มีทางไป  อันไหนก็ไม่มีทางออกไปได้  แล้วย้อนกลับมาถึงตั้งแต่เป็นราชกุมารออกไปแรกนาขวัญเห็นไหม  อารมณ์ที่นั่งอยู่ที่โคนต้นหว้านี่  เวลาตรัสรู้แล้วไปอยู่ที่โคนต้นโพธิ์  สิ่งที่โคนต้นโพธิ์เห็นไหม  ความสงบสงัด  ความสงบสงัดจากภายนอก  ความสงบสงัดจากภายใน  เส้นทางธรรมนะ 

เส้นทางธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พยายามสร้างสมบุญญาธิการมา  แล้วยังต้องมาประพฤติปฏิบัติ  รื้อค้นในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  รื้อค้นจากร่างกาย  จากการทรมานทุกขกิริยามาทั้งหมดทุกอย่าง  เนี่ย เส้นทางธรรม  เส้นทางธรรม การกระทำ  การกระทำที่ในชาติปัจจุบันสมบุกสมบั่นมาขนาดไหน  สมบุกสมบั่นนะ  สมบุกสมบั่นมาอย่างไร  จิตมันเข้าไปทดสอบๆ  ทดสอบแล้ว มันก็ไม่ใช่  ทดสอบแล้วมันก็ไม่ใช่ 

ย้อนกลับมาถึงโคนต้นหว้านั้น  อานาปานสติกำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออก  กำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออก  กับเราใช้ปัญญาไปเลย  ที่ใช้ปัญญาไปเลยมันต่างกันอย่างไร  มันต่างกันเพราะเราคิดขึ้นมานี้  เราคิดโดยสัญชาตญาณ  คิดโดยโลก  คำว่าโลกกับธรรมนี่  โลกียปัญญากับโลกุตตรปัญญา  ถ้าคนไม่เคยประพฤติปฏิบัติ  คนไม่เห็นความแตกต่างของมัน  ความแตกต่างของมันโลกียปัญญานี่  ปัญญาที่เราใช้อยู่เนี่ยเราศึกษาธรรม  ปัญญาชน  ปัญญาชน  ชนดะ  ชนทุกเรื่อง  ชนกับกิเลสก็ไม่รู้ว่ากิเลส 

เพราะอะไร  เนี่ยปัญญาชน นี่ไงโลกียปัญญาเห็นไหม  เราจะมีการศึกษามีวิชาการมากน้อยขนาดไหนก็แล้วแต่  กิเลสพาใช้ทั้งหมด  ปัญญาที่เราใช้อยู่นี่กิเลสพาใช้ทั้งหมด  เพราะอะไร  เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเยาะเย้ยมารเห็นไหม  มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา ความดำริเห็นไหม เจตนา  ดำริแล้วก็เจตนา  แล้วทำออกไป เธอเกิดจากความดำริของเรา  ถ้าดำริเมื่อไหร่  มารมันก็ออกมาพร้อมกันหมด 

แล้วที่เราทำทางวิชาการ ทางความคิดทั้งหมดมันเกิดจากใคร  เกิดจากภวาสวะ  เกิดจากภพ  เกิดจากความรู้สึกของเรา  ความรู้สึกของเรานี่มันเป็นอวิชชา  แล้วเวลาออกไปกิเลสมันออกไปด้วยไหม  ความรู้ ความเห็น ความคิดของเราทั้งหมดเลย  มันเป็นปัญญาของกิเลสหมด  ปัญญาของกิเลส เราจะคิดมาก คิดน้อยขนาดไหน คิดตรึกธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นึกนิพพานๆๆๆ ตลอดไปก็กิเลส เพราะเราคิดว่านิพพาน  แต่ใจเรามันไม่ได้เป็นนิพพาน  ใจเราเป็นกิเลสทั้งหมด  แล้วมันออกไปขนาดไหน  มันก็เป็นกิเลสเห็นไหม  เนี่ย โลกียปัญญา 

แล้วโลกุตตรปัญญาล่ะ  ที่ว่าอานาปานสตินี่  พอจิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสงบเข้ามาๆ  เห็นไหมอานาปานสติ  พอสงบเข้ามา  เข้าไปถึงตัวตนของเราเอง  จากสิ่งที่เราทำอยู่พลังงานมันกว้านไปทั้งโลกเลย  มันยึดไปหมดเลย  แล้วย้อนกลับมาเป็นตัวพลังงาน  พลังงานที่มันไม่ออกไปข้างนอกเลยนี่  มันย้อนกลับเข้ามาถึงตัวมันเห็นไหม  เนี่ยอานาปานสติ  เวลาจิตมันสงบเข้าถึงข้อมูลของมัน  เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 

จิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ก็มีข้อมูลอยู่ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดเห็นไหม  พอเข้าไปถึงข้อมูลปั๊บ  ข้อมูลนั้นแสดงตัวออกมา  บุพเพนิวาสานุสติญาณ  ย้อนอดีตชาติไปทั้งหมดเลย  ข้อมูลในหัวใจทั้งหมดมันเปิดหมด  พอเปิดหมดแล้วมันก็ไปตามพลังงานนั้น  พลังงานนั้นเปิดไปตามพลังงานนั้นเห็นไหม  ตั้งแต่พระเวสสันดรไปตลอด  นี่บุพเพนิวาสานุสติญาณ  ไม่มีต้น ไม่มีปลาย  จบไม่ได้  จบไม่ได้  ทางวิชาการเราบอกเลยชาติที่แล้วเป็นอะไร  จิตนี้มาจากไหน  จุดเริ่มต้นของจิตมาจากตรงไหน  ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ต่างๆ  ในพระไตรปิฎก จะเป็นประเด็นที่ให้ชาวพุทธโต้เถียงกันไม่มีวันจบ 

ไม่มีวันจบเพราะอะไร  เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกว่าสาวไปจนไม่มีต้น  ไม่มีปลาย  เวลาพระอรหันต์นี่  พระอนุรุทธะ  พระครูบาอาจารย์ของเราแต่ละองค์เห็นไหม  ระลึกชาติได้ห้าชาติ  พันชาติ  สิบชาติ  มันไม่เท่ากัน  ถ้ามันไม่เท่ากันปั๊บ  ประเด็นมันอยู่ตรงไหน เริ่มต้นตรงที่ไหน  มันก็มีประเด็นขึ้นมาทันทีเลย  มันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคน  ข้อมูลมาก  ข้อมูลน้อยที่ทำออกมา  แล้วอำนาจวาสนาทำได้ลึกตื้นขนาดไหน  เนี่ยย้อนไปไม่มีวันจบ  ดึงกลับมาๆ  เห็นไหม ดูสิดึงกลับมา เวลาพูดนี่ทางวิทยาศาสตร์ดึงกลับมานี่ต้องมีเครื่องมือ 

แต่ของเรามีสติ  สติย้อนกลับมาถึงจิตสงบลึกเข้าไปๆ เห็นไหม จุตูปปาตญาณ  เนี่ยเส้นทางธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้รื้อค้นได้มีการกระทำ  แล้วได้เข้าไปรู้ถึงธรรมจริง  แล้ววางธรรมให้เรา  เป็นวิชชา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่  นรก สวรรค์  นรกสวรรค์ไม่มี ทุกอย่างไม่มี  แล้ววิชชา ๓ นี่มันมีได้อย่างไร  สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสบมา  ประสบมาจากใคร  เส้นทางธรรมนะ 

นี่มันเป็นเส้นทางเดิน เส้นทางเดินจะชำระ จะทำลายหัวใจจากที่การสร้างมาเป็นพระโพธิสัตว์ให้ถึงที่สุดเห็นไหม  เนี่ยเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ  แล้ววันนี้วิสาขบูชา  เกิดมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  จุตูปปาตญาณหมายถึงว่า  ในเมื่อจิตมันมีการกระทำ  มันมีพลังงานอยู่  พลังงานมันแสดงตัวมันตลอดเวลา  จิตมันมีแรงขับอยู่  มันไม่ถึงที่สุดมันต้องไป  จุตูปปาตญาณแรงขับนี้มันต้องเกิดแน่นอน  จะต้องไป 

การเกิดของจิต  ปฏิสนธิจิต  จิตเกิดในภพชาติต่างๆ แต่ในปัจจุบันนี้ไปเห็นสิ่งที่เกิด  เพราะมีเรา  เพราะมีทุกๆ อย่าง  ทุกๆ อย่างถึงไปเกิดบนนรก  สวรรค์  ในอเวจีใช่ไหม เพราะมีเรา  เราเกิดในสถานะไหน  เรามีตำแหน่งไหน  เรามีหน้าที่การงานไหน  เพราะเรา เพราะเรา  นี่ไงเพราะมีแรงขับอยู่เพราะแรงขับอย่างนี้  มันถึงต้องเกิดอยู่ตลอดไป  ย้อนกลับมาอีก  ย้อนกลับมาอีก อาสวักขยญาณ นี่ไงอริยสัจเกิดตรงนี้  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดที่นี่  เกิดที่นี่ เกิดที่ขณะอาสวัขยญาณทำลายกิเลสอวิชชาทั้งหมดในหัวใจออกไป  ทำลายอวิชชา 

สิ่งที่แรงขับข้างนอกเห็นไหม  มันไม่ใช่อริยสัจ  ระลึกอดีตชาติไม่ใช่อริยสัจ  รู้ว่าจะเกิดไปไหนมันก็ไม่ใช่อริยสัจ  มันเป็นอภิญญา  มันเป็นความรู้ความเห็น เป็นข้อมูล เป็นพลังงาน ที่มันไปรู้ไปเห็นได้  ที่มันมีของมันโดยธรรมชาติ  สิ่งนี้มีอยู่  ธรรมชาติสิ่งนี้มีอยู่กับใจของเรา  ธรรมชาติสิ่งนี้มีอยู่กับใจทุกๆ ดวงใจทั้งหมด  นี้ทุกดวงใจเข้าไปถึงธรรมชาตินี้ปั๊บ ก็เข้าใจว่าเห็นไหม  อวดอุตริมนุษยธรรม  เวลาอวดอุตริมนุษยธรรมเห็นไหม  ฌานสมาบัตินี่ ใครบอกใครเข้าฌานสมาบัติได้  ถ้าอวดอวดอุตริมนุษยธรรมแล้ว  เพราะไม่ใช่ธรรมของปุถุชน  มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่ไปรู้เห็นมันไม่มีวุฒิภาวะ  มันจะไปตื่นเต้นกับสิ่งที่รู้ที่เห็น  เห็นไหม

แต่ถ้าย้อนกลับมาลึกซึ้งๆ กว่ากัน  ลึกซึ้งกว่าการรับรู้  ลึกซึ้งกว่าทั้งนั้น           อาสวักขยญาณ  อริยสัจนี่ทุกข์  สมุทัย  นิโรธ  มรรค  มรรคญาณ  มรรคญาณที่มันทำลายอวิชชานี่ทำลายสิ่งนี้เห็นไหม  พอทำลายสิ่งนี้มันสิ้นไปหมด  ขบวนการของมันต้องจบ  อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา  สงฺขาร ปจฺจยา  วิญฺญาณํ  นี่ปัจจยาการ อวิชชาที่มันเป็นปัจจยาการเห็นไหม  ทฤษฏีสัมพัทธ์ ที่ไอน์สไตน์มันพูดอยู่ พูดทฤษฎีสัมพัทธภาพได้  แต่จุดระเบิดพูดไม่ได้เพราะอะไร  เพราะเขาไม่เคยเห็นไม่เคยรู้ของเขา  แต่ขณะที่เดี๋ยวนี้ปรมาณู นิวเคลียร์ต่างๆ มันพัฒนาการของมันไป  ทางวิทยาศาสตร์มันพัฒนาการไป วิทยาศาสตร์มันเป็นแร่ธาตุ  ทางวิชาการมันเป็นศาสตร์อันหนึ่ง  ศาสตร์ที่มันขบวนการของมันไม่ที่สิ้นสุด  ไม่มีที่สิ้นสุดหรอก  สิ่งนี้ไม่มีที่สิ้นสุดเพราะมันเป็นโลก  ทางวิชาการมันไม่มีที่สิ้นสุด 

แต่อาสวักขยญาณนี้มันเกิดจากใคร  อาสวักขยญาณมันเกิดมาจากไหน ทางวิทยาศาสตร์  ดูสิ นักวิทยาศาสตร์ทุกคนตายไปหมดแล้ว  แล้วผู้ที่ค้นคว้าใหม่ก็จะค้นคว้าใหม่ ทางวิชาการนี่มันก็จะค้นคว้าไป  มันค้นคว้าเป็นของใคร  เพราะสิ่งนี้เป็นของโลกใช่ไหม  สิ่งนี้เป็นทางวิชาการใช่ไหม  แต่จิตที่มันตายไปมันได้อะไรไป  จิตที่มันตายไปมันค้นแล้วมันได้อะไร  แต่ตัวอาสวักขยญาณนี่มรรคญาณมันเกิด  มันเกิดที่ไหน มันเกิดจากจิตไง  มันเกิดจากภวาสวะไง  มันเกิดจากผู้ที่เกิดผู้ที่ตายนี่  มันมีต้นเหตุ  มันมีที่มามีที่ไป  แล้วมันจะทำลายตรงนั้น  ทำลายเข้ามาที่หัวใจเห็นไหม  อาสวักขยญาณเข้ามาทำลายที่หัวใจ นี่ไง

 พระพุทธเจ้าเกิดวันนี้นะ  ศาสนาเกิดเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีรัตนะ ๒  มีพระพุทธเจ้ากับพระธรรม เสวยวิมุตติสุขถึงที่สุดแล้วไปเทศนาว่าการเห็นไหม  ไปเทศน์ปัญจวัคคีย์  พระอัญญาโกณฑัญญะบรรลุธรรมขึ้นมา  อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ สงฆ์องค์แรกของโลกเกิดขึ้นมาเห็นไหม  นี่เส้นทางธรรมนะ 

แล้วเส้นทางกิเลสล่ะ  เส้นทางกิเลส ดูสิ ดูตั้งแต่เทวทัต  เจ้าชายสิทธัตถะกับเทวทัตเป็นพ่อค้าด้วยกัน  พ่อค้าด้วยกัน ถาดทองคำนะเห็นไหม  พูดถึงผู้ที่แลกเปลี่ยนสินค้า  ไปถึงแล้วไปแลกเปลี่ยนสินค้า  มีสิ่งใดก็แลกเปลี่ยน  เทวทัตเจอก่อนเจอถาดทองคำก่อนของคนจน เนี่ยจะเอาของเขา อันนี้มันเป็นของเล็กน้อยไม่มีค่าๆ  เดี๋ยวจะกลับมาเอา ไม่มีค่า แลกไม่ได้ 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพ่อค้าเหมือนกัน  พอเอาเหล็กขีดไปอันนี้เป็นทองคำมีค่ามหาศาลเลย  สิ่งนี้มันมีคุณค่ามาก ของที่เอามาแลกเปลี่ยนมันไม่มีค่าเท่าถาดทองคำนี้  แต่เด็กมันต้องการเด็กมันอยากได้  คุณยายนั้นบอก เอาเลยอย่างไรก็ได้ เอา  ถ้าเอานะสินค้าทั้งหมดให้แลกยังไม่เท่าถาดทองคำนี้เลย  อะไรก็เอา  นี่ไงสะอาดบริสุทธิ์  สิ่งที่เป็นธรรม เส้นทางธรรมเริ่มต้นตั้งแต่ความเป็นธรรมในหัวใจ 

พอแลกมา  เทวทัตออกไปแล้วกลับมา จะมาเอาถาดทองคำนี้  พอจะเอาถาดทองคำนี้ยายแก่บอกพระพุทธเจ้าเอาไปแล้ว  พอเอาไปแล้วเห็นไหม  แค้นมากกำทรายเลยนะ  จะจองล้างจองผลาญจองเวรไปทุกภพทุกชาติเห็นไหม  เทวทัตก็เกิดมากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำลายกันมาตลอดนะ  นี่เรื่องภพชาติ  เส้นทางกิเลสเห็นไหม  เห็นการทำลาย  เกิดมาเพื่อทำลาย ทำลายคู่กันมานี่  มันก็เป็นการสร้างกันมาตลอดเห็นไหม เกิดมาเพื่อทำลาย เกิดมาเพื่อทำลาย

ทีนี้กิเลสในหัวใจของเราล่ะ ในใจของเรามันมีแต่ธรรมะอย่างเดียวใช่ไหม  เวลาเราเกิดมาอะไรพาเราเกิด  กิเลสพาเราเกิดมา  เราทำบุญกุศลมาเหมือนกันแต่เราก็มีกิเลสมาด้วย  กิเลสนี้มันเป็นทิฏฐิมานะเป็นความเห็นของเรา  เนี่ยเส้นทางธรรมกับเส้นทางกิเลสมันมากับเราตลอด  แล้วเวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา  เราคิดว่าเราประพฤติปฏิบัติ  ดูสิคนนี้เป็นคนดี  คนนี้เป็นคนดีคนที่สังคมเขายอมรับ  ไปไหนมีแต่คนเขาสรรเสริญ  เขาพาให้มีที่พักที่อาศัย  นี่เรื่องโลกนะ  แล้วเวลาปฏิบัติขึ้นมาเราเป็นคนดี  เราจะปฏิบัติเพื่อจะชำระกิเลส  กิเลสมันจะเปิดโอกาสให้เราปฏิบัติเป็นอย่างนั้นไหม  มันจะเป็นอย่างนั้นไหม 

เส้นทางธรรมนะ  มันเริ่มต้นตั้งแต่วุฒิภาวะ  ตั้งแต่พันธุกรรมทางจิตที่สร้างมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เป็นบารมีสร้างสมมา  พอสร้างสมมานี่มันเกิดเชาว์ปัญญา  เกิดสติยับยั้ง  เกิดความเห็น  เกิดมุมมอง  มุมมองในสิ่งที่ดี  คิดแต่เรื่องดีๆ  บางอย่างเรามุมมอง  บางคนคิดแต่เรื่องสิ่งชั่วร้าย  เราคิดกันนะ  ทำไมคนเขาคิดเรื่องชั่วร้ายได้ลึกซึ้งขนาดนั้น  ทำไมเขาคิดได้มากขนาดนั้น  เราคิดไม่ถึงนะ  นั่นไงเพราะอะไร  คนดีทำความดีง่าย ทำความชั่วยาก  คนชั่วทำดีขนาดไหน  มันทำดีได้ยากทำความชั่วได้ง่ายเห็นไหม  มันคิดแต่เรื่องชั่วได้ง่ายๆ เห็นไหม

ดูสิเทวทัตกับพระพุทธเจ้านี่ใครจะคิด  เกิดมานะเป็นญาติกัน  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เทวทัตมาเกิดเป็นเทวทัตเห็นไหม  ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน  เป็นตระกูลเดียวกัน แต่พันธุกรรมที่มันสร้างมา สิ่งที่มันบาดหมางมา เส้นทางกิเลสเห็นไหม  แต่เส้นทางกิเลสขนาดไหน  เทวทัตเวลาถึงที่สุดแล้ว  เทวทัตยังก็ระลึกตัวได้  จะมาขอขมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 

แต่กิเลสเรามันจะยอมรับรู้ไหม  มันจะระลึกได้ไหมว่าจะให้เราปฏิบัติไปเนี่ย  มันเป็นไปไม่ได้  เทวทัตก็เป็นคนๆ หนึ่ง  เป็นจิตดวงหนึ่ง  เป็นจิตดวงหนึ่งที่ทำดีทำชั่ว  มันจะตกผลึกในจิตดวงนั้น  แต่กิเลสของเรากับธรรมะของเรา  คุณงามความดีของเรา คุณงามความดีของเราเป็นการที่สร้างสม  ที่เราพยายามรื้นค้นขึ้นมา  ที่เราปฏิบัติขึ้นมา  แต่กิเลสไม่ต้องทำอะไร  กิเลสมันเหยียบย่ำอย่างเดียว  กิเลสในหัวใจมันเหยียบย่ำมันทำลายอย่างเดียวเลย โดยธรรมชาติของมัน โดยธรรมชาติของกิเลสมันทำงานของมันอย่างนั้น  ธรรมชาติของกิเลสมันจะทำงานอยู่ตลอดเวลานะ 

แล้วเวลาเราปฏิบัติ  เส้นทางธรรมหรือเส้นทางกิเลสล่ะ  ถ้าเส้นทางธรรมเห็นไหมมันต้องมุมานะ  มันต้องมีความวิริยะ มีความอุตสาหะ มีการกระทำ มีความจงใจ มีการกระทำของเรา  ถ้าเรามีความตั้งใจมีความจงใจมีการกระทำของเราเห็นไหม  เวลาการกระทำนี่ ทำไมมันเป็นสัมมาปฏิบัติ มิจฉาปฏิบัติล่ะ  เวลามิจฉาปฏิบัติเห็นไหม  เราปฏิบัติธรรมแต่มันมิจฉา  มิจฉาเพราะกิเลสเรามันมีอยู่แล้วใช่ไหม

แล้วเส้นทางของเรา  เราไปเจอครูบาอาจารย์ที่ชี้นำ  เราจะเอาวุฒิภาวะอะไรไปจับของเขา  ทุกคนบอกเลย พระพูดต้องถูกหมด  พระเวลาแสดงธรรมพระต้องถูกหมด มันยังเป็นไปได้เลย ดูสิ ในสมัยพุทธกาลเห็นไหม โปฐิละ ดูสิโปฐิละ ลูกศิษย์ลูกหาเยอะแยะไปหมดเลย  ไปที่ไหนเวลาไปกราบพระพุทธเจ้านี่  โปฐิละใบลานเปล่ามาแล้วหรือ  โปฐิละใบลานเปล่าลูกศิษย์ลูกหาเยอะแยะ แล้วปฏิบัติถูกต้องในสมัยพุทธกาล เรื่องอย่างนี้เยอะมากนะในพระไตรปิฎก  เราไปค้นคว้าในพระไตรปิฎก เรื่องอย่างนี้เยอะแยะไปหมดเลย

แล้วขนาดพระพุทธเจ้าอยู่ พระพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่นะ ดูสิเวลาประพฤติปฏิบัตินะ  ฉัพพัคคีย์  พระพุทธเจ้าบัญญัติธรรมวินัย ฉัพพัคคีย์ต้องหาทางออก  พระพุทธเจ้าบัญญัติ อนุบัญญัติ มูลบัญญัติป้องกันไว้ตลอดนะ แล้วในปัจจุบันเราเชื่อไหมในกาลามสูตร  ในกาลามสูตรเห็นไหม  ห้ามเชื่อแม้แต่ครูบาอาจารย์ของเรา  ห้ามเชื่อแม้แต่มันคำนวณแล้วมันจะลงกันได้  ห้ามเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้  ห้ามๆๆๆๆๆ พระพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น  ให้เชื่อความเป็นไปของเรา  แล้วความเป็นไปของเราเวลาปฏิบัติไป  ถ้าเราตั้งใจเห็นไหม  เส้นทางธรรมของเรานะ 

เส้นทางธรรมของเรา  มันมีเส้นทางกิเลสในหัวใจเรามันขวางตลอด  สิ่งที่มันขวางนี่เส้นทางกิเลสทั้งๆ ที่มีบุญนะ  คำว่ามีบุญนี่มันตั้งใจทำมันมีบุญ พอเกิดมาแล้วมันมีมุมมอง มันมีความระลึกรู้ตัวอยู่ การที่ว่า มาวัดได้อะไรๆ นี่  มาวัดนี่เห็นไหมมันทำให้เรามีคุณค่า  ชีวิตนี้มีคุณค่า  ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติชีวิตมีคุณค่าเพราะอะไร  ครูบาอาจารย์ท่านบอกนะลมหายใจเข้าและลมหายใจออก  มีสติสัมปชัญญะอยู่นะ  คนมีสติแม้แต่วินาทีเดียว  ดีกว่าคนที่เผลอใช้ชีวิตไม่มีประโยชน์เลยเป็นร้อยๆ ปี  แล้วถ้ามีคุณค่าที่เราจะประพฤติปฏิบัติ 

ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์  สร้างมา ๔ อสงไขย  ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย คำว่าอสงไขยนี่ ชีวิตทั้งชีวิตบำเพ็ญมาขนาดไหน แล้วในปัจจุบันนี้เราจะมาบำเพ็ญเพียรของเรา เพื่อเอาชนะกิเลสของเรา  ถ้าเอาชนะกิเลสของเรา  ถ้ามีบุญญาธิการเห็นไหมเวลาเราทำของเรา  เราตั้งสติของเรา มันจะเป็นสัมมา มันจะรวมตัวเข้ามาๆ ให้จิตมันสงบให้ได้  จิตสงบนี่สำคัญมาก เพราะจิตสงบนี่นะมันมีความสุข  มันมีต้นทุนไง  คนเรานะทุกข์ยากอยู่ ทำงานมีแต่ความทุกข์ความยาก มันมีแต่ความเบื่อหน่ายนะ 

แต่พอจิตเราเริ่มสงบ  เราเริ่มมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา  เรามีที่พักที่อาศัย  ถ้าเรามีที่พักที่อาศัย  การทำหน้าที่การงานของเรา  มันจะเป็นประโยชน์ขึ้นมาแล้ว  เป็นประโยชน์ขึ้นมาตรงไหน ตรงที่ขณะที่จิตเราไม่สงบ ความคิดของเรามันเป็นความคิดเรื่องโลก ความคิดของเรานี่ความฟุ้งซ่าน ความทุกข์อยู่มันเป็นเรื่องโลกๆ โลกที่ไหน  โลกคือโลกทัศน์ 

โลกคือความคิดที่ออกมาจากใจ  แล้วต้องเอาหนามยอกเอาหนามบ่งเห็นไหม ก็เอาความคิดเราเนี่ย กำหนดพุทโธเป็นความคิดไหม เราตั้งใจเราจะประพฤติปฏิบัติ  พุทโธๆ เป็นความคิดไหม  ไม่คิดมันจะพุทโธออกมาได้อย่างไร  เพราะมันคิดพุทโธ  พุทโธเป็นวิตก วิจาร   วิตก วิจาร  ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ องค์ของสมาธิ  คำว่า วิตกขึ้นมาเห็นไหม  เรานึกพุท  วิจาร  พุทโธๆ  พุทโธมันมาจากไหน  มันมาจากจิต  จิต ความคิดมันคิดไปฟุ้งซ่าน  มันคิดไปตามประสาของมันเห็นไหม  เนี่ยเส้นทางกิเลส  เส้นทางกิเลสนะ มันจะคิด มันจะคาดหมาย  มีสัญญาอารมณ์ไปตามความพอใจของมัน 

แต่ขณะที่เส้นทางธรรม ที่เราจะเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราต้องมีสติ  เราต้องยับยั้งมัน  เราต้องมีสติยับยั้งมัน  นี้ยับยั้ง มันธรรมชาติที่คิด ถ้าธรรมชาติที่คิดเราจะเอาอะไรไปยับยั้งมัน  ก็เอาธรรมชาติที่คิด คิดในพุทโธไง เพราะพุทโธนี่ถ้าเรานึกขึ้นมาเห็นไหม เนี่ยพุทโธสะเทือน ๓ โลกธาตุ ครูบาอาจารย์บอกพุทโธสะเทือน ๓ โลกธาตุนะ

เพราะพุทโธนี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละองค์ที่ตรัสรู้ขึ้นมา แล้วแสดงธรรมขึ้นมาเห็นไหม  ในจิตที่เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะก็ได้ซึมซับสิ่งนี้มา พอซึมซับสิ่งนี้มาพูดถึงพุทโธ  ดูอนาถบิณฑิกเศรษฐีสิ เวลาไปเยี่ยมญาติของตัวเห็นไหม ไปเห็นญาติเขาเตรียมอาหารจะไปถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เขามีงานอะไรกัน  นึกว่าเขามีงานขัตฤกษ์ไง ไม่ใช่ นี่จะถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พุทธะเกิดแล้ว 

อนาถะได้ยินคำว่า   พุทธะ  คำเดียวเท่านั้นช็อกเลย  อยากพบมาก  อยากพบมากคืนนั้นนอนไม่หลับ นอนไม่ได้เลย จะไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเดียว จะไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเดียว  จนบอกไม่ได้ต้องรอให้เช้าก่อน นี่ไงบุญญาธิการที่สร้างมา  เพราะอนาถบิณฑิกเศรษฐีกับนางวิสาขาสร้างบุญกุศลมา ปรารถนาเป็นผู้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  นางวิสาขาเป็นมหาอุบาสิกา  อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นมหาอุบาสก  เนี่ยเป็นผู้อุปัฏฐาก  เพราะเขาสร้างมา พอจิตมันรับรู้เห็นไหม นอนไม่ได้เลย   มันต้องการพบ  เพราะสร้างมาเพื่อเหตุนี้ 

จิตของเราก็เหมือนกัน สิ่งที่มันนึกพุทโธๆ  ถ้าเราภาวนาของเราไป  มันจะสร้างลงไปในหัวใจของเรานะ  ในหัวใจของเรา สิ่งที่มันสะสม  ความคิดมาจากไหน  ความคิดมาจากจิต  เจตนามาจากไหน  ทำดีทำชั่วมาจากไหน  มาจากจิตหมดเลย แต่จิตมันโดนอวิชชาครอบงำไว้  พออวิชชาครอบงำจิตเราไว้  เราทำอะไรมันเลยไม่เป็นอิสระ  มันถึงต้องตั้งสติไง  สติยับยั้งมันไว้ก่อน  ยับยั้งไว้ก่อน  ขนาดยับยั้งมันก็เป็นธรรมชาติของมัน

เพราะมันเป็นธรรมชาติที่มันมีอวิชชา  มันนอนเนื่องมากับใจใช่ไหม เรายับยั้งมัน  ยับยั้งถึงที่สุดพอมันสงบขึ้นมา  อวิชชามันสงบตัวลง  อวิชชา ทิฏฐิมานะไม่สงบตัวลง  สมาธิเกิดไม่ได้  สมาธิเกิดขึ้นมา  เพราะตัวตนของเรา  ความเห็นความยึดมั่นถือมั่นของเรามันโดนพุทโธ  โดนสติทำลายๆๆ  ทำลายชั่วคราว พอทำลายชั่วคราวเห็นไหม  พอจิตสงบเข้ามา  นี่มีความตื่นเต้นนะ 

จิตสงบ กับสิ่งที่เราคิดกันอยู่ว่าเป็นความสงบ เนี่ยต่างกัน  ตอนนี้นะคิดว่าสงบเพราะอะไร เพราะเราเป็นผู้ที่มีปัญญา  เราเกิดมาในเรื่องที่ทางวิชาการทางโลกเจริญ  ก็เข้าใจ พยายามทำความเข้าใจทางวิชาการทางความรู้สึกไง  สมาธิเป็นอย่างนั้น  ว่างเป็นอย่างนั้น  สัญญาทั้งนั้น  สัญญาทั้งนั้นเพราะเราไม่ได้รับรสของสมาธิไง

เราปฏิบัติธรรมเห็นไหม จากเส้นทางธรรมกับเส้นทางกิเลส ขณะที่มันอยู่ระหว่างกลาง  ระหว่างกลางว่ามันจะเป็นสมาธิจริง หรือมันจะเป็นกิเลสสร้างภาพ  พอมาถึงตรงนั้นปั๊บเราก็หลักลอย  หลักลอยหมดเลย  ว่างๆ  ว่างๆ ทำไมไม่มีกำลังล่ะ  ว่างๆ ทำไมไม่รับรู้รสของธรรมล่ะ รสของสมาธิธรรมล่ะ  ถ้ามันว่างขนาดไหนนะ  มันมีความรับรู้ขนาดไหน  ตั้งสติไว้  มันจะต้องดีได้กว่านี้  มันต้องพัฒนาการได้ดีกว่านี้เห็นไหม

ขณิกสมาธิ  อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ คำว่าสมาธินี่มันหยุดยั้งไว้ก่อน เหมือนเราเจ็บไข้ได้ป่วย  เราต้องฟื้นฟูร่างกายเราให้แข็งแรงก่อน  เราจะรักษาโรคภัยไข้เจ็บสิ่งใดเราถึงจะรักษาได้  ร่างกายของเรานี่อ่อนแอมาก แล้วเราเจ็บไข้ได้ป่วยเห็นไหม  เราจะผ่าตัด  เราจะรักษาร่างกายเรา มันจะมีโอกาสไหม  มันตายพร้อมกันไปเลยไง ร่างกายเราก็อ่อนแออยู่แล้ว  โรคภัยไข้เจ็บก็มีความรุนแรงอยู่แล้ว  แล้วก็จะรักษามันอีก

นี่ก็เหมือนกัน  จิตเรามีกิเลสอวิชชาครอบงำอยู่แล้ว ศึกษาธรรมเข้าไปขนาดไหนแล้ว  เราไม่มีสติยับยั้งมันก่อน  มันอ่อนแอ  อ่อนแอจนกินรวบไง ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรม  เป็นธรรมเนี่ยเขากินอาหารนะ  กระดูกเขาไม่กินหรอก  เป็ดไก่นี่เขากินแต่เนื้อ  กระดูกนี่เขาทิ้ง  เขากินไม่ได้  แต่นี้ของเราเราจะกินไก่ทั้งตัวไง  นี่เวลากิเลสทำทำอย่างนี้ จะกินไก่ทั้งขนเลยนะ  มันไม่ต้องฆ่าไม่ต้องแกงหรอก  มันนึกเลยว่าไก่นี้กินได้ 

คนเขาจะกินเห็นไหม  เขาต้องฆ่า  เขาฆ่าไก่ของเขา  เขาถอนขนของเขา  เขาทำอาหารของเขา  เขาจะกินของเขา เส้นทางธรรม  เส้นทางธรรมมันจะถูกต้องชอบธรรม  เส้นทางกิเลส  เส้นทางกิเลสมันมักง่าย  มักง่าย อยากประสบความสำเร็จ  อยากให้เป็นไปตามความเป็นจริง  มันมักง่ายมันคิดเอา  มันไม่เป็นความจริงหรอก  ถ้ามันไม่เป็นความจริงเห็นไหม  เส้นทางธรรมกับเส้นทางกิเลส 

วันนี้เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะ  เราจะปฏิบัติบูชาท่าน เวลาปฏิบัตินะ  ผู้ใดเห็นธรรม  ผู้นั้นเห็นตถาคต  ถ้าจิตเราสงบขึ้นมาเห็นไหม  เราได้กราบเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พุทโธๆๆๆ จนใจเป็นพุทโธซะเอง  นึกพุทโธไม่ได้  เห็นไหมพุทโธๆๆ นี่ เรากล่าวถึงนามขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธานุสสติ  เวลาจิตมันเป็นพุทโธซะเองนะ ว่าง  “เอ๊อะ เอ๊อะ ”  นี่สมาธิเป็นอย่างนี้  พอสมาธิมันเป็นอย่างนี้ปั๊บนี่  มันเป็นอิสรภาพชั่วคราว  

แต่ของเรานี่มันสมาธิไม่ใช่เป็นอย่างนี้  ว่างๆ ว่างๆ  ว่างๆ นี่มันเป็นสัญญาอารมณ์  แล้วกิเลสอวิชชามันอยู่หลังว่างๆ นั้น  แล้วมันก็เอาว่างๆ มาหลอกเราเป็นอย่างนั้นๆ  แล้วมันเป็นจริงไหม  ถ้ามันเป็นจริงนะ  เราจะต้องมีกำลังนะ  เราจะมีความรู้  จะมีคุณธรรมของเราขึ้นมา  แต่นี้มันไม่เป็นอย่างนั้นเลย  แล้วมันจะแช่อยู่อย่างนั้น  เราจะไม่พัฒนาการไปมากกว่านั้นเลย  แต่ถ้าเรามีสตินะเราตรวจสอบได้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สามารถยกให้ใครเป็นพระอริยเจ้า ไม่สามารถยกใครให้บรรลุธรรมได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทาง  นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติ มันอยู่ที่เราสัมผัส มันอยู่ที่ความเป็นจริงของเรา ถ้าจิตมันมีความจริงของมัน  มันสัมผัสของมัน มันรู้ของมันเห็นไหม มันรู้ของมันปั๊บแล้วมันออกรู้ พอจิตมันมีกำลังของมัน  นี่โลกียปัญญา เราทำลายทั้งหมดเห็นไหม

รื้อแล้วสร้าง เนี่ย เราจะทำสิ่งปลูกสร้างเราต้องปรับพื้นที่ เราต้องปรับพื้นที่ของเรา  ทำพื้นที่ของเราให้สามารถรองรับอาคารที่เราสร้างขึ้นมาได้  นี่ก็เหมือนกัน  เราอยากพ้นจากทุกข์ เราอยากให้ใจเราเป็นธรรม ถ้าอยากให้ใจเป็นธรรม พื้นที่ที่เราจะสร้างขึ้นมามันไม่มี  มันไม่มีเพราะอะไร  เพราะมันไม่ได้เข้าไปถึงฐีติจิต  มันไม่เข้าไปถึงตัวของจิต  ถ้าไม่เข้าไปถึงตัวของจิตเห็นไหม  เราจะปรับพื้นที่อย่างไร  เราจะเอาอะไรรองรับสภาวธรรมอันนี้  ถ้าสภาวธรรมมันก็เป็นสัญญา  ตะครุบเงาไง 

ความคิดเป็นอาการของใจนะ  ความคิดเป็นอาการของใจ ถ้าจิตสงบขึ้นมาเห็นไหม  จิตเห็นความคิดมันคนละเรื่องเลย จิตเห็นความคิด จิตเห็นกาย  จิตเห็นเวทนา  จิตเห็นธรรม ถ้าจิตเห็น  แต่เวลาสงบแล้วมันไม่เห็น เหมือนกับสายตาของเรามองออกไปข้างนอก สายตาเรากระทบสิ่งใดเราจะเห็นรูปนั้น  เนี่ย หลังของเรา  เราจะเห็นไหม  หลังของเราศีรษะเราเนี่ย ลูกตาเรามองไม่เห็นใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน  อาการของจิตกับจิตมันส่งออกตลอดเวลาโดยธรรมชาติของมัน  แต่ถ้าจิตมันสงบนะ พอมันย้อนกลับไป มันเห็นความคิดของมัน นี่ไงวิปัสสนาเกิดที่นี่  ถ้าวิปัสสนามันเกิดขึ้นมาเห็นไหม  เนี่ย เส้นทางธรรม

เส้นทางธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิชชา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  อาสวักขยญาณ  มันมีขิปปาภิญญา  ท่านพิจารณาทีเดียว ท่านตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเลย แต่เราสาวก สาวกะ  เราต้องปรับพื้นฐานของเรา พอจิตของเราสงบขึ้นมาแล้ว เราออกหางานทำ  ออกหางานทำนะ  เนี่ยจิตมันสะอาดไปเฉยๆ โดยไม่มีเหตุมีผลไม่ได้  ในเมื่อจิตมันปล่อยวางจากความฟุ้งซ่าน  ปล่อยวางจากรูป รส กลิ่น เสียง  เข้ามาเป็นอิสรภาพในตัวของมันเอง  พอเป็นอิสรภาพตัวของมันเองเห็นไหม  มันเนื้อของจิต 

เนื้อของจิตทำความสะอาดจิตได้  แต่ขณะที่มันเป็นความคิดอยู่ ความคิดมันเป็นเปลือกเห็นไหม เปลือกส้มกับส้มนะ กินส้ม กินเปลือก เคี้ยวเปลือกตลอด เคี้ยวเปลือกส้มไม่ใช่เนื้อส้ม  ความคิดที่เป็นโลกียปัญญา ความคิดที่ตรึกในธรรม จะตรึกในธรรมจะอะไรก็แล้วแต่  เราจะให้ค่ามากค่าน้อยมันอยู่เราเห็นผิด แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น ความจริงเราตรึกในธรรม  ตรึกในธรรมนะเราคิดถึงธรรมะทั้งหมดเลย  แต่ตัวของจิตมันเป็นอวิชชา  เนื้อหาสาระของเรามันเป็นข้อมูลที่เราจำมา  มันไม่เป็นความจริง

แต่พอจิตสงบเข้ามาเห็นไหม  ส้มกับเปลือกส้ม  ส้มมันแยกกับเปลือกส้มออกมามันเป็นเปลือกส้ม  แล้วส้มกับเปลือกส้มมันกระทบกันเห็นไหม  ความคิดกับตัวจิตมันกระทบกัน มันรู้กัน มันเห็นกัน  มันรับรู้กันได้  จิตเห็นอาการของจิต  เนี่ยเส้นทางการเดินของจิตเห็นไหม ปุถุชน กัลยาณปุถุชน จิตมันฟุ้งซ่าน จิตมันสงบได้ยากเพราะอะไร  เพราะคนหนา  เพราะเราไม่ได้ฝึกฝนของเรามา  คนมันหนา แต่เพราะคนหนา  คนมีการฝึกฝน มีการตั้งสติ มีการกระทำของเราเข้ามา  จากคนหนาเห็นไหม  เห็นรูป รส กลิ่น เสียง คนหนานี่มันติดไปหมด  ติดต่างๆ เห็นไหม  จิต ธรรมชาติของจิตมันกินสัญญาอารมณ์เป็นอาหาร

ถ้าจิตมันเหมือนน้ำ  ถ้าน้ำใสอยู่ในแก้ว บางทีเราไม่เข้าใจนะว่าในแก้วนี่มันมีน้ำหรือไม่มีน้ำ  แต่ถ้าเราเติมสีเติมต่างๆ ลงไปในน้ำ  เราจะเห็นว่าน้ำนั้นสีอะไร  จิตก็เหมือนกัน  จิตกินสัญญาอารมณ์เป็นอาหารเห็นไหม  เพราะถ้าเราไม่คิด  เราไม่มีความรู้สึกอะไรเลย  เราก็นึกว่าเราไม่มี  เราไม่มีเห็นไหม สิ่งที่เป็นนามธรรมคือไม่มี  แต่เวลาคิดขึ้นมานะ  ความคิดมันให้ความทุกข์ขึ้นมา  นี่ไงๆ นี่ว่าจิตๆ  มันความคิด  มันไม่ใช่จิตหรอก  เห็นไหม  จิตมันกินสัญญาอารมณ์เป็นอาหาร  เพราะมันหิวกระหาย 

เราตั้งสติของเราเห็นไหม  เราตั้งสติของเรา  เราพุทโธๆๆ ให้จิตมันอิ่มเต็ม  ถ้าจิตมันอิ่มเต็ม  คนเรานี่นะมันอิ่มเต็มขึ้นมา  อาหารที่เป็นพิษมันจะกินไหม  แต่คนเรามันทุกข์มันยากนะ  อาหารอะไรก็แล้วแต่  ที่มันจะเป็นพิษมากพิษน้อยก็แล้วแต่ ขอประทังชีวิตก่อน จิตที่มันไม่มีหลักมีเกณฑ์ จิตที่มันหิวกระหายมันกินสัญญาอารมณ์เป็นอาหาร มันก็เลยเป็นเนื้อเดียวกัน  เนี่ยทุกอย่างเป็นเรา  กิเลสเป็นเรา ความคิดเป็นเรา  ทุกอย่างเป็นเราหมดเลย  เรานี่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นหมดเลย  เพราะมีเราไปยึดมั่นถือมั่นใช่ไหม  

ที่ว่าต้องทำสมาธิเพราะเหตุนี้  ทำสมาธิเพราะอะไร พอทำสมาธิขึ้นมาทำความสงบ  สมถกรรมฐาน ไม่มีฐานที่ตั้งของการงาน  ถ้าไม่มีสมถกรรมฐาน  วิปัสสนากรรมฐานมันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร  สมถกรรมฐาน  แล้วบอกว่าถ้าทำสมถกรรมฐานเราต้องทำความสงบของใจ  ต้องมีสมถกรรมฐานก่อน  ต้องมีพื้นฐานก่อนค่อยทำงาน  บางทีสมถกรรมฐาน พื้นฐานของคน พื้นฐานของเราควรแก่การงานได้มากน้อยขนาดไหน

ในทางสมถะ  มันก็ต้องใช้ปัญญาบ้าง  เห็นไหม รูป รส กลิ่น เสียง  สิ่งนี้มันทำให้เราฟุ้งซ่านออกไป แต่เราสงบเข้ามา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ  ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันเป็นได้ทั้งสมถะ มันเป็นได้ทั้งวิปัสสนา  ถ้าเป็นสมถะเห็นไหม เราใคร่ครวญสิ่งนี้ พอจิตมันเห็นโทษเข้ามา  มันก็ปล่อยวางเข้ามา  นี่เป็นสมถะ  

จิตที่เป็นฐานแห่งการงาน  ฐานของจิตมันออกรับรู้ได้  ออกใช้ปัญญาได้  ออกใช้ปัญญาเพื่อจะให้สมถะ ให้ฐาน ให้สมาธิ ให้สิ่งต่างๆ  เห็นเหตุเห็นผล  ที่เราทำสมาธิกันหรือเราทำภาวนากัน  ที่มันไม่เจริญหรือว่าทำแล้วมันไม่ต่อเนื่อง  ทำไม่ต่อเนื่องเพราะอะไร  เพราะสิ่งที่เราไม่รู้จัก สิ่งใดเป็นโทษนสิ่งใดเป็นคุณ สรรพสิ่งในโลกนี้ ทางวิชาการทางต่างๆ  ข่าวสารข้อมูลต่างๆ เป็นโทษกับการปฏิบัติทั้งหมด  เป็นโทษกับการปฏิบัติเพราะเราไปรับรู้เราเกิดอารมณ์ไหม  มันเป็นคุณกับโลก  แต่มันเป็นโทษกับการปฏิบัติ

ความเป็นอยู่ของเราทุกอย่าง  ถ้าเราจะอยู่สุขอยู่สบาย เราจะอยู่อย่างพอใจเรานะเป็นโทษหมด  สิ่งที่เป็นโทษไง พอเราเห็นว่าสิ่งนี้เป็นโทษใช่ไหม  แล้วเราเห็นคุณของมัน  ถ้าไม่เห็นคุณของมัน  ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธุดงควัตรไว้ ๑๓  ข้อ  บอกธุดงควัตรนี่เป็นเครื่องขัดเกลากิเลส  การกินหนเดียว  กินอาสนะเดียวเห็นไหม  การกินภาชนะเดียว  ภาชนะเดียวนี่ทุกอย่างรวมลงที่นี่ ทุกคนก็รังเกียจหมด  ถ้ามีหลายๆ ภาชนะ  ทุกอย่างแยกส่วนมา  แล้วกินอยู่ด้วยความสุขสมบูรณ์  กิเลสมันชอบ  แต่มันไปขัดแย้งกับธรรม  เพราะยิ่งกิเลสชอบใช่ไหม  ความชอบความอยาก  ตัณหาความทะยานอยาก เราป้อนมันนะ  มันจะมีวันอิ่มพอไหม

ไม่มีไฟกองใดเลยที่มันจะไม่ไหม้  ถ้าเรายังเติมเชื้อไฟอยู่  ไฟมันจะดับได้ต่อเราชักฟืนชักเชื้อออกจากกองไฟนั้น  กิเลสตัณหาความทะยานอยากความพอใจของเรา  มันเติมอยู่ตลอดเวลา  แล้วมันจะมอดไปได้อย่างไร  แต่ถ้าเราถือธุดงควัตรเห็นไหม  ความเป็นอยู่ของเรา สิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์กับโลก  มันจะเป็นโทษกับการปฏิบัติ  ถ้ามันเป็นโทษกับการปฏิบัติเห็นไหม  เวลาเราทำหน้าที่การงานนั่นอีกเรื่องหนึ่ง  แต่เวลาพ้นออกจากหน้าที่การงานแล้ว  เห็นไหมดูคนทำงานสิ  เขาจะบอกว่าอย่าเอางานเข้าบ้าน  เราเป็นทุกข์อยู่ในบ้านใช่ไหม  เวลาทำงานก็ทำงาน  เวลาเข้าบ้านมาก็จบ  จบแล้วปฏิบัติที่นั่น

แต่เวลาพระเรา  พระที่ประพฤติปฏิบัติเห็นไหม  จะไม่ให้ออกรับรู้สิ่งนั้นเลย  เพราะพระเราเห็นโทษภัยในวัฏสงสารเห็นไหม  พระเราไม่มีอาชีพที่ต้องไปทันโลกทันข้อมูลข่าวสารกับเขา  พระเราเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง  เราเลี้ยงชีพปัจจัยเครื่องอาศัยเรามีผู้ที่ส่งเสริมอยู่แล้ว  หน้าที่ของเราปฏิบัติอย่างเดียว  ยิ่งปฏิบัติอย่างเดียว  ยิ่งทำยิ่งจงใจ  ยิ่งทำต่อหน้ามันเห็นชัดเจนไง  เห็นชัดเจนว่าถ้าจิตมันไปรับรู้สิ่งต่างๆ  เวลามันภาวนาอยู่  มันจะทำสมาธิได้ง่ายไหม

ปัญญาที่เราจะฝึกฝนขึ้นมา  ที่จะออกใช้ปัญญา  มันจะฝึกใช้ปัญญาได้มากน้อยแค่ไหน  แต่ถ้าเราเริ่มธุดงควัตรเห็นไหม  เริ่มปล่อยวางเริ่มขัดเกลาเห็นไหม  พอขัดเกลาเข้ามา  จิตใจมันเริ่มมีอิสรภาพมากขึ้น  เพราะสิ่งนี้เราตัดมัน  ตัดมัน  ตัดข้อมูลตัดต่างๆ ที่จะเข้ามาให้หัวใจนี่รับรู้ต่างๆ เห็นไหม  เวลาปฏิบัติมันจะง่ายขึ้นๆ มันจะดีขึ้น อาหารการกินก็ไม่ต้องไปกินมากต่างๆ เห็นไหม เนี่ย เห็นคุณเห็นโทษ  ถ้าเห็นคุณเห็นโทษในการปฏิบัติ มันก็มีเป้าหมาย พอมีเป้าหมายมันก็มีความขยันหมั่นเพียร  พอมีความขยันหมั่นเพียรมันเกิดขึ้นมาเห็นไหม  มันจะเข้าไปสู่เป้านั้น  ถ้าเข้าสู่เป้านั้นเห็นไหม  เนี่ยเส้นทางธรรม 

เส้นทางธรรมเราต้องก้าวเดินของเรา  ถ้าเส้นทางธรรม  เราเริ่มมีหนทางเห็นไหม  มีหนทางเพราะอะไร  เพราะเราปฏิบัติกี่รอบก็แล้วแต่  ปฏิบัติกี่ครั้งก็แล้วแต่ จิตสงบไหม จิตมีคุณสมบัติขึ้นมาบ้างไหม  สิ่งที่จิตสงบ  ปัญญาที่มันพิจารณาแล้วมันปล่อยวาง  นั่นล่ะคือเส้นทางที่เราเห็น  เส้นทางของเรา  เราเห็นเส้นทางของเรา  เราก้าวเดินไปตามนั้น  มันจะลำบากจะทุกข์ยากขนาดไหน  ถ้าเส้นทางของเราเป็นอย่างนี้ เราจะมุมานะ เราจะมีความขยันหมั่นเพียรของเรา 

แต่ถ้าเราไม่เอา เราจะเอาเส้นทางของกิเลส มันก็ปฏิบัติเป็นสักแต่ว่า  เวลาเราปฏิบัติกันถ้าเป็นสักแต่ว่า  ถ้าไม่มีสตินะสักแต่ว่าทำ  หุ่นยนต์นะ  หุ่นยนต์เขาสร้างมาใช้งานในโรงงานนะ  มันยังเป็นประโยชน์กับเขา  มันเป็นประโยชน์เพราะเขาสร้างมาก็เป็นประโยชน์ของเขา  แต่เรานี่เราทำร่างกายเราให้เป็นหุ่นยนต์  เราเป็นสิ่งที่มีชีวิตนะ  ดูสิหุ่นยนต์มันไม่มีชีวิต  แต่เขายังสร้างมันให้ทำงานได้

แต่ของเรามีชีวิต  เพราะเรามีจิต  เรามีภวาสวะ มีตัวจิตที่มันจะเกิดจะตาย  แล้วมันมีปัจจุบันนี่เห็นไหม  สิ่งที่มีคุณค่าๆ คือความรู้สึกอันนี้  ความรู้สึกอันนี้มีคุณค่ามาก  ถ้าทำบุญกุศล  ทำดีนี่มันไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์  เป็นพรหม  แต่ถ้าทำบาปอกุศลมันไปเกิดในนรกอเวจี ในการประพฤติปฏิบัติ มันชำระให้มันสะอาดได้  พอมันสะอาดขึ้นมาเห็นไหม  สะอาดได้อย่างไร  ใจนี่มันติดข้องในอะไร  มันติดข้องในร่างกายกับจิตใจตัวเราเองนี่ 

เริ่มต้นนะมันความเข้าใจผิดในร่างกายของเรา  ในจิตใจของเรา  มันยึดว่าเป็นเราทั้งๆ ที่เราศึกษาธรรมนะ  จริงตามสมมุติ  เขาบอกว่าโลกนี้เป็นสมมุติ  ทุกอย่างเป็นสมมุติ  สมมุติเขาไม่เอามันเลย  ก็คิดว่าตัวเองเป็นพระอริยเจ้า  เพราะเราไปศึกษาเรารู้หลักการ  แล้วเราก็มาปฏิเสธเอา  นั่นก็เป็นสมมุตินี่ก็เป็นสมมุติ

แต่ถ้าผู้ที่ปฏิบัตินะ ทำไมหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นนะท่านเป็นพระอรหันต์ แล้วท่านเป็นครูบาอาจารย์ของเรานะ  ครูบาอาจารย์เราอยู่กับหลวงปู่มั่นนะ  ท่านบอกเก็บหอมรอมริบ  ศีลธรรมแม้แต่เล็กน้อย  ท่านจะทำเป็นตัวอย่างหมด  นี่ไงทำไมไม่เป็นสมมุติล่ะ  ทำไมหลวงปู่มั่นไม่บอกว่าเป็นสมมุติ  เป็นสมมุติแล้วทิ้งหมดเลย ไม่เอาอะไรเลย  ทำไมท่านถนอมท่านรักษา  ท่านทำของท่านเพราะเหตุใด  เพราะท่านรู้ว่าอะไรเป็นสมมุติ  แล้วอะไรมันล้างสมมุติ

นี่ไง  จิตความจริงของเรา  ชีวิตการเกิดความจริงของเรานี่  มันจริงตามสมมุติ  เราเกิดมาเป็นคนนี่  คำว่าสมมุติมันเป็นศัพท์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า  สมมุติชั่วชีวิตหนึ่ง  แต่ถ้ามันพ้นจากสมมุติไปนะ จิตมันเป็นวิมุตตินี่  มันไม่เกิดไม่ตาย  มันคงที่ของมันตลอดไป  คำว่าคงที่ของมันตลอด  อาสวักขยญาณ  ชำระกิเลสแล้วมันเป็นวิมุตติ

แต่เมื่อเรายังเป็นมนุษย์อยู่  เรายังเป็นสิ่งที่มันจะเป็นอนิจจัง  คือมันแปรสภาพอยู่  ความที่แปรสภาพ ความที่เปลี่ยนแปลงนี้  อยู่ในกฎของสมมุติทั้งหมด แล้วมันเป็นจริงไหม  ความเปลี่ยนแปลงมันยังมีอยู่ไหม มันมีอยู่จริงๆ แล้วเราปฏิเสธว่าสมมุติไม่มีได้อย่างไร  สมมุติมันมีอยู่จริงๆ มันเป็นจริงตามสมมุติ  แต่ขณะที่เราเป็นจริงตามสมมุติแล้ว  เราต้องทำจิตของเราให้มันมีหลักมีเกณฑ์  มีความสงบเข้ามา แล้วค้นคว้าให้เห็นตามความเป็นจริง 

พอเห็นตามความเป็นจริงนะ  พิจารณากายไป  ปล่อยวางขนาดไหน ปล่อยแล้วปล่อยเล่า พิจารณาจิตเข้ามา  พิจารณาจิตเข้ามาคือขันธ์ ๕ คือความคิด ความคิดนะเป็นทุกข์  ทุกอย่างเป็นทุกข์  พิจารณาให้มันปล่อยๆ ขนาดไหน  พอมันขาดนะ  ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา  เราไม่ใช่ขันธ์ ๕  ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕  พิจารณากายไปจนมันแปรสภาพ  แปรสภาพไปทั้งหมดเลย  พอแปรสภาพไปหมด มันไม่มีสิ่งใดที่จิตมันจะอยู่ได้  มันปล่อยไปหมดเห็นไหม  กายเป็นกาย  จิตเป็นจิต  ทุกข์เป็นทุกข์ 

  พอเห็นว่ากายเป็นกาย  จิตเป็นจิต  ทุกข์เป็นทุกข์  แล้วจิตมันรวมลง  จิตมันปล่อยวางหมด สมมุติมันก็อันเก่านี้ ร่างกายนี่ก็อันเก่านี้  พระอัญญาโกณฑัญญะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นคนเดิมนั่นนะ  แต่หัวใจ  สิ่งที่เป็นสังโยชน์  สิ่งที่มันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันโดนชำระล้างไป  มันโดนชำระล้างไปด้วยมรรค   ด้วยมรรค ด้วยความเพียรชอบ ด้วยงานชอบ ด้วยความชอบ  ความชอบธรรม 

นี่ไง ศาสนาเกิดวันนี้ เกิดขึ้นมาเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา  ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาด้วยสัจจะความจริง  ด้วยมรรคญาณ  ด้วยมรรค ๘ ที่มันรวมตัวเพราะมรรคญาณที่เป็นปัญญา  ปัญญาที่มันเป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ปัญญาชอบ งานชอบ เพียรชอบ  มรรคญาณ มรรคสามัคคี  สามัคคีอย่างไร  แล้วรวมตัวอย่างไร  แล้วไปทำลายไอ้สังโยชน์  ไอ้ความยึดมั่นถือมั่นของใจที่ขาดออกไปจากใจ  สิ่งที่ขาดออกไป  กิเลสขาดออกไป เนี่ยทุกข์ไม่ใช่เรา  ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕  ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์  ทุกข์ไม่มีในเรา  เราไม่มีในทุกข์  มันปล่อย  พอมันปล่อยมันขาด  สิ่งที่ขาดนั่นนะมันก็อันเก่านั่นล่ะ แต่มันเป็นที่หัวใจนั่น

สิ่งที่เป็นหัวใจเห็นไหม  แต่เวลาเราปฏิบัติขึ้นมาด้วยกิเลสเห็นไหม  นั่นก็เป็นสมมุติ  นี่ก็เป็นสมมุติ  ปฏิเสธหมดเลย  พอปฏิเสธ  การกระทำจริงไม่ได้เกิดขึ้นมาจากจิต จิตมันเป็นตัวติดซะเอง  ความรู้สึกความยึดมั่นถือมั่นของใจ  มันเป็นอยู่ที่จิตใต้สำนึก  แต่เวลาเราใช้กัน ใช้จิตสำนึก ความคิดของเรา  ใช้ปัญญาของเราใคร่ครวญในธรรมะเข้าไป  มันเข้าไม่ถึงจิตใต้สำนึก  มันไม่เข้าถึงเนื้อแท้ของกิเลสที่มันอยู่กับจิต  เราก็บอกนี่เป็นสมมุติๆ    เราอ้างเล่ห์กันไปอย่างนั้น  เราอ้างกันไป

เส้นทางกิเลสนะ ทั้งๆ ที่ปฏิบัติธรรมนี่  จะเป็นเส้นทางธรรมที่จะเกิดขึ้นมากับเรา มันยังเป็นเส้นทางของกิเลสหลอกลวงเราตลอดเห็นไหม  แต่ถ้ามีครูมีอาจารย์นะ ท่านจะใช้อุบายให้เราพยายามเปลี่ยนแปลง  ให้เราพยายามทดสอบ  ให้ใจของเรามุ่งตรงสู่ธรรม  มุ่งตรงสู่สัจจะความจริง  มุ่งตรงสู่การกระทำที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กระทำมาแล้ว  แล้วถ้าเรามุ่งตรงเข้าไปเห็นไหม  ให้มันสงบเข้ามาให้ได้  ให้มีพื้นฐานเข้ามาแล้วมุ่งตรงสู่มัน 

แล้วมีการกระทำของเราในหัวใจเข้ามา  มันจะเกิดมรรค  มรรคญาณจริงๆ มรรคที่มันเกิดนะเห็นไหม  มรรคข้างนอก  สิ่งต่างๆ ที่ขึ้นมา มันเป็นเรื่องของทางวิชาการ ปริยัติ  ปฏิบัติ ปฏิเวธ  ในการปฏิบัติขึ้นมา  เวลามันขึ้นมาจริงเห็นไหม  มรรคมันเกิดขึ้นมาจริง  จักรที่มันเกิดขึ้นมา จักรที่มันหมุนเข้ามา  ปัญญามันหมุนๆ  หมุนอย่างไร 

ปัญญาอันหนึ่ง  ปัญญาของกิเลส  เวลามันหมุนมันมีแกนของมันคือตัวภพ  ตัวใจของเรา  มันหมุนออกไป มันกว้านออกไป  เอาแต่ความทุกข์มาสะสมเต็มหัวใจเลย  พอจิตมันสงบขึ้นมานะ แล้วเดินปัญญาเป็น        ถ้าเดินปัญญาไม่เป็น จิตมันจะไม่หมุน  จักร ธรรมจักร  จักรที่เป็นธรรมนี่มันจะหมุนออกไปไม่ได้  ถ้าจักรที่เป็นธรรมมันหมุนออกไปไม่ได้  มันหมุนออกไปเพื่อชำระล้างนะ

 ถ้าจักรมันหมุน  มันหมุนออกไปอย่างไร  ธรรมจักรที่เป็นปัญญาชอบ  มันเคลื่อนออกไปอย่างไร  แล้วมันกลับมาทำลายตัวกิเลสอย่างไร  กลับมาทำลายอวิชชา ทำลายสิ่งต่างๆ  มันเกิดขึ้น เนี่ย เส้นทางธรรม  สิ่งที่เกิดขึ้นมา  สิ่งที่จะชำระกิเลส  สิ่งที่มันจะเป็นความจริงได้ มันต้องมีเหตุมีผล มีการกระทำของมัน  แล้วการกระทำมันก็อยู่ในหลักอริยสัจ เห็นไหมสติปัฏฐาน ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค  แล้วก็ กาย เวทนา จิต ธรรม 

อริยสัจ ๔  สติปัฏฐาน ๔  อยู่ในหลัก  แต่!  แต่วิธีการกระทำอยู่ที่จริตนิสัย  อยู่ที่ความถนัด  พันธุกรรมทางจิต  จิตที่ถนัดมา  ทำไมพระสารีบุตร  พระโมคคัลลานะ  เป็นอัครสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เบื้องซ้ายและเบื้องขวา  ทำไมทำไปคนละทางกันเลย  ทำไมพระโมคคัลลานะ เนี่ย พุทโธๆๆๆ เห็นไหม  จนจิตเข้ามาพิจารณากาย  ทำไมพระสารีบุตรเห็นไหมใช้ปัญญาใคร่ครวญ  ใช้ปัญญาใคร่ครวญเรื่องจิต  เรื่องต่างๆ เข้ามา  แล้วครูบาอาจารย์แต่ละองค์ไม่เหมือนกัน  สิ่งนี้มันเป็นพื้นฐาน  พื้นฐานของใจไม่เหมือนกัน 

ทีนี้เราปฏิบัติ บนศาลาเนี่ยถ้าพิจารณากายเหมือนกันหมดเลย  แต่จะไม่เหมือนกันสักคนหนึ่ง  แล้วพิจารณากายของแต่ละบุคคล พอพิจารณากายออกไป  มันเกิดเป็นปัจจุบันธรรมนะ  ถ้าจิตมันสงบ  สงบเข้าไปปั๊บนี่  ถ้าเห็นกาย  เห็นกายขึ้นมานี่บางคนเห็นทั้งโครงสร้างเลย  บางคนเห็นเฉพาะส่วน  บางคนเห็นอวัยวะ  เนี่ยมันอยู่ที่วาสนาไง  อย่างเช่นเราไปตลาด  เรามีเงินมากเราซื้อได้ทั้งตัวเลย  นี่เห็นทั้งโครงสร้างเลย  เราเป็นคนวาสนาน้อย เรามีเงินน้อย  เราไปตลาดเราก็ซื้อได้เฉพาะส่วน  นี่เปรียบเทียบถึงว่าเวลาเราเอาเงินไปซื้อนะ

แต่เวลาปฏิบัตินี่เอาจิต เอาอำนาจวาสนา เอาความเป็นไปของเราไปรู้ไปเห็นนะ  สิ่งที่เอาจิต  เอาอำนาจวาสนาของเรา  ถ้าจิตมันสงบมีพื้นฐานแล้ว  ถ้าออกรู้เนี่ย ไม่เท่ากันหรอก  ขนาดพิจารณากายนะ ถ้าเราพิจารณาแล้วพิจารณาเล่า  บางคนพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า  เพราะเป็นคนที่ปัญญาเยอะ  เป็นคนที่ติดมาก  เป็นคนที่ไม่ไว้ใจสิ่งใด  มันจะต้องซ้ำๆ ซากๆ  ทำแล้วทำเล่า  ทำแล้วทำเล่า  แต่ถ้าเป็นคนแบบว่ามีหลักมีเกณฑ์  แล้วมีเหตุมีผลเชื่อโดยเหตุผล  พิจารณาห้าครั้งสิบครั้งปล่อยก็ได้ ขาดก็ได้  พิจารณาสิบครั้ง ยี่สิบครั้ง เห็นไหมไม่เท่ากัน 

การปฏิบัติไม่เท่ากันหรอก  เหตุและผลต่างกัน  กิเลสของคนไม่เหมือนกัน  ในอำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกัน  ทุกอย่างไม่เหมือนกัน มันถึงจะปฏิบัตินี่  มันถึงปฏิบัติอริยสัจ  เป็นสัจจะความจริงของแต่ละบุคคล จะไม่เหมือนกัน  ทั้งๆ ที่พิจารณากายเหมือนกันเนี่ย  แล้วพิจารณากายแล้วนี่  พิจารณากายโดยเจโตวิมุตติ  คือเห็นกายโดยสัจจะความจริง 

พิจารณากายโดยปัญญาวิมุตติ  พิจารณากายโดยปัญญา  โดยปัญญาโดยการเปรียบเทียบ  จิตสงบแล้วมันจับได้  จับอาการของจิต  จับความคิดอย่างจิตกับอาการของจิตนี่มันจับได้  แล้วอาการของจิตมันจะคิดเรื่องอะไรล่ะ  มันก็คิดเรื่องโครงสร้างร่างกายเรานี่  เพราะมันติด เนี่ย สิ่งต่างๆ ที่คิดออกไป  คิดออกไปจากไหน  ดูสิ จรวดยิงออกไปจากฐานใช่ไหม  ความคิดที่เกิดขึ้น มันไม่ได้เกิดขึ้นจากจิตของเราหรือ 

แล้วจิตของเราอยู่ในร่างกายนี้ไหม  แล้วร่างกายนี้โครงสร้างมันเป็นอย่างไร เนี่ยปัญญามันจะไล่เข้ามาๆ ไล่เข้ามาๆ  ถ้าไล่เข้ามานะมันเห็น  พิจารณากายเพราะมันคิดเรื่องกาย  ร่างกายเราเกิดมาเห็นไหม  เกิดจากไข่ของมารดาเห็นไหม เกิดจากกลละ เกิดจากน้ำมันงาใส  เกิดเป็นปัญจสาขา เกิดเป็นปุ่มเป็นปมขึ้นมาในร่างกาย  มันใช้ปัญญาไล่ไปได้เลย 

คนเกิด เกิดมาจากไหน  เกิดมาจากปฏิสนธิจิตในไข่ของมารดา เกิดมาแล้วมีโครงสร้าง เกิดมาอยู่ในครรภ์ ๙ เดือนมันเป็นปฏิกิริยาอย่างไร  มันพิจารณาไปนะ  พิจารณาไปๆ  จนจิตมันลง จิตมันมีความสงบนะ  นั่งน้ำตาไหล  นั่งน้ำตาไหล  เพราะมันเห็นความเกิดความตายไง  เห็นว่าชีวิตนี้มันผ่านวิกฤตมาขนาดไหน  เวลาพิจารณาอยู่ในปัจจุบันนะ  น้ำตาไหลมันมีปัญญาขึ้นมาให้สลดสังเวช  ธรรมสังเวชไง  มันสะเทือนหัวใจนะ 

แต่เวลาออกจากสมาธิมา ออกจากปัญญามานะ มันก็คนเก่าเนี่ย มันก็ยังอยากอยู่กับโลกเขาเห็นไหม  ขณะที่ปัญญามันเกิดจริง กับขณะที่ปัญญามันสิ้นสุดขบวนการของการใช้ปัญญาแล้วออกมา  มันคนละอารมณ์ คนละความรู้สึก  ทั้งๆ ที่เราก็อยากได้ปัญญาอย่างนั้น  แต่ถ้าปัญญาอย่างนั้นเราต้องใช้ปัญญาอบรมสมาธิเข้ามา  พอปัญญาอบรมสมาธิเข้ามาแล้ว เราก็ใช้สิ่งที่จิตมีพื้นฐานออกไปใช้ปัญญา  ปัญญาในการวิปัสสนา 

เวลาจิตออกจากปัญญาวิปัสสนา  คำว่าปัญญาวิปัสสนา  มันมีพื้นฐานของสมาธิ พื้นฐานของจิตที่มันสร้างความสงบมา  คำว่าความสงบคือเป็นปัจจุบัน  สมาธิไม่มีอดีต อนาคต  ไม่มีวินาทีนี้และวินาทีหน้า  มันจะเป็นวินาทีเดียว  วินาทีเดียวตลอดไป  พอวินาทีเดียวตลอดไป ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมาจากวินาทีนั้น  มันเกิดขึ้นจากเวลาปัจจุบันนั้น  มันเกิดเห็นภาพ  ปัญญาที่เกิดในปัจจุบันนั้นมันจะกระเทือนหัวใจมากๆๆ  

แต่ขณะที่เราคิดของเราเนี่ย ความคิดเห็นไหม พลังงานมันออกมาผ่านสมอง ความคิดจากสมองความคิดจากโลก  แต่ถ้าความคิดเป็นวิปัสสนา  ความคิดมันเกิดจากจิต  จิตมันเป็นสมาธิ  จิตมันไม่ได้เคลื่อนไปไหน  จิตมันอยู่ในปัจจุบันนั้น แล้วปัจจุบันนั้นมันเห็น  พอปัจจุบันเห็นไหม ถ้าสมาธิดี ปัจจุบันนั้นชัดเจน ปัจจุบันนั้นดี  พิจารณาแล้วมันมีอารมณ์ความรู้สึกที่ลึกซึ้ง  ที่เป็นรสของธรรม  ที่มันสะเทือนหัวใจมากกว่า 

แต่พอจิตมันเริ่มเสื่อม พลังงานมันเคลื่อนที่มันเริ่มไหว  พอไหวแล้ว พิจารณาแล้ว มันพิจารณาด้วยปัญญาอันเดิมนั้นแหละ  ไม่ปล่อยหรอก  ไม่ปล่อย เพราะอะไร  เพราะมันไม่เป็นปัจจุบันไง ความเป็นปัจจุบันมันเคลื่อนที่ไงเห็นไหม  เนี่ยการพิจารณากาย  มันพิจารณากายด้วยปัญญาก็ได้  พิจารณากายโดยจิตก็ได้  คำว่าก็ได้ๆ  นี่คืออริยสัจ  นี่คือสัจจะความจริง  สิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติกัน  ไม่พ้นจากอริยสัจ  ถ้าใครพ้นจากอริยสัจ  เราไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่นะ 

เราเป็นสาวก  สาวกะ ที่ปฏิบัติธรรมในกาลเวลา ๕,๐๐๐ ปี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น  ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจนจิตเป็นธรรม จิตเป็นธรรมทั้งหมดเวลาแสดงธรรมขึ้นมา มันก็ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น  ใครจะมีปฏิภาณไหวพริบขนาดไหน ไม่พ้นจากพุทธวิสัย  พุทธวิสัยครอบงำหมด  เรานี่สาวก สาวกะ ไม่มีทางพ้นจากพุทธวิสัยไปได้  ใครจะแสดงธรรมขนาดไหน  เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้าทั้งหมด  เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด 

แต่เพราะเราประพฤติปฏิบัติเข้าไปจนรู้ธรรมเห็นธรรม  จนจิตมันเป็นธรรม  มันเลยพูดออกมาชัดเจน พูดออกมาจากธรรมไง  แต่ถ้ามันเป็นกิเลสนะ มันพูดออกมาจากกิเลสไง  ทั้งๆ ที่พูดธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นแหละ แต่เป็นกิเลสล้วนๆ เลย  ใจมันเป็นกิเลสทั้งหมดเลย  พูดธรรมก็เป็นกิเลส  แต่ถ้าเราปฏิบัติจนใจเป็นธรรม  พูดออกมามันเป็นธรรมหมด  เพราะมันพูดออกมาจากข้อเท็จจริงที่ใจนี้มันเป็น ใจมันเป็น มันเห็นเพราะอะไร 

ความคิดนี่นะเห็นไหม  มโนกรรม  ถ้าไม่มีความคิด ไม่มีมโนกรรม  การเคลื่อนไปการกระทำของเรามันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร  การกระทำต่างๆ ความคิดต่างๆ เกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากเราทั้งหมด  เกิดขึ้นมาจากจิตทั้งหมด  แล้วจิตถ้ามันมีอวิชชา จิตนั้นมันมีสิ่งต่างๆ สะสมมาเห็นไหม  มันนอนเนื่องมากับใจ  แค่สักกายทิฏฐิ  ความเห็นผิดเนี่ย  มันบังคับจิตให้เป็นไปตลอดเลย  พอจิตมันพิจารณาจนถึงที่สุดแล้ว  พิจารณากายจนปล่อยเห็นไหม เป็นพระโสดาบัน  พระโสดาบันจะเริ่มต้นวิวัฒนาการของมันขึ้นไปอย่างไร  วิวัฒนาการเป็นพระสกิทา เป็นพระอนาคา  แล้วถึงที่สุดแห่งทุกข์  ถ้ายังเป็นพระโสดาบันอยู่เห็นไหม  เกิดอีก ๗ ชาติ  เป็นพระสกิทาเห็นไหมอีก ๓ ชาติ  เป็นพระอนาคาไม่เกิดในกามภพอีกแล้ว 

ข้อมูลอย่างนี้  กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดในหัวใจ มันเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป  มันอยู่กับใจเรา  มันอยู่กับใจเรา  แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป   เราบอกว่าสิ่งนี้นะเป็นธรรมๆ   เราเปรียบเทียบเอา  เราทำเอา  เราคาดหมายเอา  เราต้องการให้มันเป็นอย่างนั้น เหมือนกับนะ  เราทำลายโอกาสของเราเอง  โอกาสของเรามันอยู่ซึ่งๆ หน้า มันเผชิญหน้ากับเรา  กิเลสของเราอยู่เผชิญหน้ากับเรา 

เราต้องซื่อตรงกับการประพฤติปฏิบัติ  แล้วพยายามย้อนกลับ  ย้อนกลับนะ  ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือทวนกระแส  ทวนกระแสความคิดเรา ความคิดที่มันส่งออกไป  ความคิดธรรมดาที่คิดออกมาคือส่งออกหมดแล้ว  มันส่งออกหมดแล้ว แต่พอจิตสงบขึ้นมา  มันใช้ความคิดเหมือนกัน  แต่ความคิดนี้มีปัจจุบัน  มีสมาธินี้เป็นพื้นฐาน  พอสมาธินี้เป็นพื้นฐานมันจะย้อนกลับมา ย้อนกลับมาทำลายตัวมัน ทำลายตัวมัน  

แต่ถ้ามันไม่มีสมาธิเป็นพื้นฐานเห็นไหม  เพราะมันเป็นสายงาน  มันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์  มนุษย์เกิดมามีธาตุ ๔ ขันธ์ ๕  มีตัวจิตเป็นพื้นฐาน  แต่ในธาตุ ๔ ขันธ์ ๕  เวลาเกิดเป็นเทวดาขันธ์ ๔  เกิดเป็นพรหมเห็นไหม  มันเป็นสายงาน  มันเป็นธรรมชาติของภพ  ธรรมชาติของเราเกิดในภพใดเรามีสถานะใด  สิ่งนี้มันเป็นธรรมชาติของมัน  แล้วเอาความคิดอย่างนี้  เอาสายงานของมัน  เอาความเป็นไปของมัน  แล้วจะเอามาชำระล้างมัน  มันเป็นไปได้อย่างไร  นี่ไง  มันถึงเป็นเส้นทางกิเลสไง 

ถ้าเป็นเส้นทางธรรมนะ  เราต้องเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าเชื่อกิเลส  กิเลสมันจะยุแหย่ตลอดนะ  ทำอย่างนี้ๆ  แล้วมันจะสะดวกมันจะเรียบง่าย  ดูสิ คนอื่นเขาทำแล้ว  คนนั้นก็ได้ คนนี้ก็ได้  คำว่าคนนั้นได้คนนี้ได้ ข่าวลือทั้งนั้น  ข่าวไม่เป็นจริงหรอก  ดูสิ เราอ่านพระไตรปิฎกเห็นไหม  เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าเห็นไหม  เราฟังข่าวสิ  ข่าวของพระสารีบุตร ข่าวของครูบาอาจารย์เราเนี่ยพระอรหันต์ 

สิ่งที่เป็นพระอรหันต์ เวลาแสดงออกนะ  พ่อแม่ปู่ย่าตายายของเรานี่ ท่านประกอบธุรกิจของท่านมา  ท่านลงทุนลงแรงของท่านนะ มันไม่มีสิ่งใดที่จะประสบความสำเร็จด้วยความเรียบง่าย  มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  แต่พ่อแม่เรานี่เขาเอ็นดูเรา  เขารักเราเขาถนอมเรา  เขาพยายามจะให้เราได้อย่างนั้น  แต่ถ้าเราออกไปเผชิญกับโลกนะ เราจะต้องทำของเราเอง  สิ่งที่เราทำของเราเองมันจะเกิดขึ้นมาจากเรา  เกิดขึ้นมาจากเรานะ

ถ้ามันเป็นจริง  มันถึงจะเข้ากับข้อเท็จจริง สิ่งที่ว่าเป็นจริงขึ้นมาเห็นไหม  เป็นสมาธิก็ต้องเป็นสมาธิจริงๆ  ศีล สมาธิ  ปัญญา  แล้วปัญญาที่เกิดขึ้นมา  คนภาวนาเป็นนะ ฟังแค่พูดก็รู้ ว่าปัญญาที่พูดมันเป็นสัญญา  สัญญาที่จำธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พูดชัดๆ พูดคำเดียวกับพระพุทธเจ้าเลย แต่เป็นสัญญาไม่เป็นความจริงอันนั้น  แต่ถ้าเป็นความจริงอันนั้นมันเข้าองค์ประกอบ

ดูทางกฎหมายเห็นไหม  ถ้ามันผิดองค์ประกอบ  เราจะไปดำเนินทางกฎหมาย  แพ้เด็ดขาด  เป็นไปไม่ได้  มันสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  องค์ประกอบถ้าเราเขียนสำนวนผิด  สำนวนองค์ประกอบผิดเพี้ยนไป  แพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันฟ้อง  แพ้ตลอด  ในการปฏิบัติของเราก็เหมือนกัน  ในองค์ประกอบ ศีล สมาธิ ปัญญา  สิ่งที่  ศีล สมาธิ ปัญญา  เห็นไหม  ดูสิพื้นฐานของมัน  เนี่ยองค์ประกอบของการประพฤติปฏิบัติ  องค์ประกอบของการเอาชนะตนเอง  องค์ประกอบของการจะเข้าไปชำระกิเลส  สิ่งนี้มันจะเกิดขึ้นมา  ถ้าเราเป็นความจริงขึ้นมา  มันเป็นความจริงของเราขึ้นมาเห็นไหม 

แล้วถ้าเกิดมันพิจารณากายจนเป็นพระโสดาบันขึ้นมาแล้ว  เป็นพระโสดาบันเพราะมันทิ้งจริง  ทำลายได้จริง  พอคนทำลายได้จริงเห็นไหม  ดูสิ ทนายเวลาผู้ที่จบนิติมา ถ้ามันยังไม่ได้ฝึกงานเห็นไหม  มันก็ยังเก้ๆ กังๆ ทำงานไม่เป็นหรอก  แต่พอเราจบมาแล้วเห็นไหม  เราไปสำนักงานไหนก็แล้วแต่  เราไปฝึกงาน  ฝึกงานเราขึ้นศาลลงศาล  ขึ้นศาลลงศาลจนเรารู้ช่องรู้ทางนะเห็นไหม จนเราสามารถที่เราจะว่าความของเราเองได้ 

จิตที่เป็นพระโสดาบัน มันได้ทำลายกับจิต มันได้ตรวจสอบกัน มันได้วิปัสสนา มันได้ใคร่ครวญกันระหว่างกาย  เวทนา จิต ธรรม  ถึงที่สุดแล้วมันปล่อยวางของมัน  มันขาดออกไป  ก่อนที่มันจะขาด  มันจะมีการปล่อยวางๆๆๆ ก่อน  ปล่อยวางนี้เป็นตทังคปหาน  คือการปล่อยวางชั่วคราว เหมือนกับเราฝึกงาน  เวลาทนายเขาไปฟ้องนะ เขาให้เราเขียนสำนวน แล้วก็เช็คตรวจสำนวนให้  ว่าเราเขียนผิดเขียนถูกเห็นไหม  เรายื่นไปแล้วนะศาลรับฟ้องไม่รับฟ้อง  ฝึกงานๆๆๆ  วิปัสสนามันปล่อยวางๆๆๆ  มันเป็นตทังคปหานมันปล่อยวางชั่วคราว  มันฝึกไปเรื่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ

จนถึงที่สุดนะ  เวลาเราขึ้นว่าความเองมีเอกสารชุดเดียวนะ  เอกสารของเรานะชุดเดียว  แล้วเราวาง  เราขึ้นศาล เราวางศาล  ศาลรับแล้วก็พิจารณาของศาลไป  นี่ก็เหมือนกันเวลามันขาดมันหนเดียว  สำนวนอันนั้นมันจะสิ้นสุดขบวนการของมันได้  นี่ก็เหมือนกัน  เวลาพิจารณากายไปนี่ ถึงเวลาถ้ามันปล่อยๆๆ ไปนี่  มันเป็นตทังคปหาน  มันปล่อยชั่วคราว  มันไม่มีการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นตามความเป็นจริง  แต่เวลาเราขึ้นถึงที่สุดแล้ว ตรวจสอบถึงที่สุดแล้ว  ศาลตัดสินแล้ว  ผิด ถูก ตามแต่คำตัดสินนั้น นี่ก็เหมือนกัน  ถึงที่สุดแล้ว  ถ้ามันถูกมันขาด พั้บ นี่ไงหนเดียว นี่ทำงานเป็น

พอทำงานเป็น  เราจะเริ่มต้นวิปัสสนาเข้าไป  ตั้งแต่ขั้นต่อไปนะเห็นไหม  เราทำงานเป็นแล้ว  มีพื้นฐานของความเป็นสมาธิ เราต้องทำความสงบของใจเข้ามา แล้วย้อนออกไปพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม  กาย เวทนาจิตธรรมแต่ละขั้นตอนของมันไม่เหมือนกัน  พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรมของขั้นโสดาบัน พิจารณากายเห็นกายไป  พิจารณากายของขั้นสกิทาเห็นไหม  มันคืนสู่สภาวะของเขา  มันทำลายของมันคืนสู่สภาวะเดิมของเขา  มันปล่อยวางอย่างไร  พอมันปล่อยวางกายกับจิต กายกับจิตแยกกันตามธรรมชาติของมัน  แล้วพิจารณากายซ้ำเข้าไปเห็นไหม

ขั้นของอสุภะ ขั้นของอสุภะคือขั้นของกามราคะ  ดวงจิตดวงนี้โดยธรรมชาติของมัน  มันเป็นกามโอฆะ ดวงจิตดวงนี้  เพราะดวงจิตดวงนี้มันเวียนตายเวียนเกิดในวัฏสงสารนี้  มันได้เวียนตายเวียนเกิด พันธุกรรมของมันได้สร้างเงื่อนไขอยู่ในหัวใจดวงนี้ เป็นความพอใจของมันในดวงนี้ เพราะมันมีความพอใจเป็นกามฉันทะ  พอมีความพอใจในกามฉันทะ มีความพอใจในตัวมันเอง  เพราะมีความพอในตัวของมันเอง  เพราะมีเราถึงมีเขา

เพราะมีความพอในใจตัวของมันใช่ไหม  เพราะความพอใจในตัวของมันเอง มีที่ยืนของมันแล้วมันก็ออกสู่ข้างนอก  ออกสู่ข้างนอกมันก็เป็นกามราคะ  สิ่งที่เป็นกามราคะถ้าย้อนกลับเข้าไปนี่  มันย้อนกลับเข้าไป  พอจิตมันสงบเข้าไปมันเป็นมหาสติ มหาปัญญา  พอเป็นมหาสติ มหาปัญญา  จิตมันจะละเอียดมากกว่านั้น  ถ้ามันจับกายขึ้นมามันถึงเป็นอสุภะ อสุภะเพราะอะไร อสุภะเพราะมันเป็นธรรม  ไม่ใช่ อสุภะเพราะเราคิดว่าเป็นอสุภะ

อสุภะจะเกิดขึ้นมาโดยการขบวนการบังคับ  ขบวนการที่เป็นอย่างที่เราคิด  เป็นไปไม่ได้  อสุภะมันจะเกิดต่อเมื่อจิตมันสงบ  มันจะเป็นอริยสัจ  มันจะเป็นสัจจะความจริงขึ้นมาเกิดขึ้นมาจากใจ  ถ้าใจมันเกิดขึ้นมา ใจมันเห็นของมันขึ้นมานะ  มันสะเทือนหัวใจมากนะ  สะเทือนกามฉันทะ  เพราะตัวมันมีกามฉันทะ  มีพื้นฐานในตัวของมัน  เพราะตัวมันเป็นกามอยู่แล้วมันถึงได้ออกเป็นกามราคะ  ออกเป็นกามราคะเพราะอะไร  เพราะสิ่งที่มันขับดันออกมาจากใจ  พอขับดันออกมาจากใจถ้าวิปัสสนาเข้าไป มันจะละเอียดเข้าไป ซับซ้อนเข้าไปมาก ระยะการกระทำไปมันจะคล่องตัวขึ้นไป  คล่องตัวขึ้นไป เห็นไหม 

เหมือนกับการที่เราว่าความในศาล  เราขึ้นต้นจากไม่เป็น  เราฝึกงานขึ้นมาจนเราทำงานเป็น แต่นี้พอเราว่าความขึ้นไปเห็นไหม เนี่ย เราว่าความขึ้นไปเราจะยึดเลย  เวลาศาลเห็นไหม ดูสิ กฎหมายระหว่างประเทศเลย  จะยึดประเทศเลยนะ  ยึดทวีปมันเลย  ฟ้องกันยึดกันทั้งโลก  นี่ทำกันเพื่อพิจารณาหัวใจ  จนถึงทำลายหัวใจหมดเลย  ทำลายพื้นที่ ทำลายอวิชชา ทำลายที่ว่าจิตนี้ไปเกิดที่ไหนอีกต่อไป  นี่ไงเพราะทำลายกามราคะ  แล้วจิตนี้จะไม่เกิดในกามภพ  ในวัฏฏะ ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ  จิตที่เกิดนี้มันเกิดมันตาย  ข้อมูลมันถึงมหาศาลในหัวใจนะ  เรามานั่งกันอยู่นี่  เรามาพิจารณากันอยู่นี่  เราก็คิดไปประสาเรา  เรารู้ได้แค่ในภพชาตินี้ 

แต่ในหัวใจในข้อมูลนั้น เพราะจิตนี้มันไม่มีต้นไม่มีปลาย  ข้อมูลในหัวใจนะ มันมีมหาศาลขนาดไหน  เวลามันพิจารณาของมันเข้าไปเห็นไหม  เนี่ยมันจะทำลายกามภพ  ทำลายกามภพนะ วัฏฏะ วิวัฏฏะ  วัฏฏะจิตมันหมุนไปด้วยแรงเหวี่ยงของอวิชชา ด้วยแรงเหวี่ยงของมัน  ด้วยพญามารมันบังคับจิตดวงนี้  เพราะอวิชชา  มารมันมาอาศัยหัวใจของสัตว์โลกเป็นที่อยู่อาศัย  พอที่อยู่อาศัยนี้แรงเหวี่ยงนี้ไปมันเกิดที่ไหน  มารมันก็ครอบงำตลอดไป  มันมีที่อยู่ของมันใช่ไหม 

แต่ถ้าเราวิปัสสนาไปเราทำลายมาร  ทำลายแรงเหวี่ยงของมัน ทำลายสิ่งที่มันมีกำลังขับเคลื่อนของมันไปบ่อยครั้งเข้า จนถึงที่สุดทำลายกามฉันทะ ทำลายกามราคะ ทำลายกามฉันทะ  จิตนี้มันพ้นไปจากกามภพ  มันไม่เกิดต่ำกว่าเทวดาลงมาแล้วมันเกิดบนพรหม  เกิดบนพรหมจิตมันหนึ่งเดียว  แล้วแรงเหวี่ยงมันละเอียดขึ้นไง  จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส  มันผ่อง มันใส มันเฉา มันเศร้าหมองเห็นไหม  แรงเหวี่ยงมันไม่เหวี่ยงออกไปไกล  มันเฉพาะในตัวของมันเอง 

ในตัวของมันเองเห็นไหม มีความผ่องใส มีความเศร้าหมอง  ในตัวของมันเองนี่เฉพาะแสงเฉพาะความเป็นไปเห็นไหม  จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส  จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส  จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส  จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นไปจากกิเลสเห็นไหม  จิตผ่องใสนี่  ในนิพพาน ว่าง ผ่องใส  ผ่องใสว่างขนาดไหนคู่กับไม่ว่าง  สิ่งที่ยังเป็นของคู่อยู่ เนี่ยเวลาจำธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาพูดไง  นิพพานว่าง นิพพานผ่องใสนี่  มันเป็นสัญญาทั้งหมด  เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่านิพพานว่าง  เพราะความว่างของหัวใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ว่าง  ว่างอย่างไร  มีอะไรติดอยู่ในความว่างนั้น  ถ้าถามนะท่านตอบได้หมดล่ะ 

แต่ของเขาและความว่างของเรามันเป็นทฤษฎีไง  ว่างคือว่างไง  แล้วบอกว่าไม่ว่างนะเถียงกันเลย  มันต้องว่างสิ เพราะคำว่าว่างมันถึงว่าง มันต้องไม่มีอะไรในความว่างนั้น  แต่ในความว่างนั้นก็มีอากาศนะ  ในความว่างมีความรู้สึกนะ  ในความว่างนั้นมีคนให้ค่ามัน  ถ้าในความว่างนั้นไม่มีคนให้ค่ามัน  มันจะรู้ว่ามันว่างได้อย่างไร  คนที่ให้ค่ามันความรู้สึกที่ให้ค่าว่าว่าง  คนที่ให้ความรู้สึกว่าผ่องใส ว่าเศร้าหมองนี้  ถ้ามันไม่มีคนที่ให้ค่ามัน ความว่าง ความผ่องใส ความเศร้าหมอง มันตั้งอยู่บนอะไร  ความว่าง ความรู้สึกมันตั้งอยู่บนอะไร  มันตั้งอยู่บนอวิชชาเพราะมันไม่รู้ตัวมันเองเห็นไหม  สิ่งที่มันตั้งอยู่มันมีฐีติจิต มันมีอวิชชาครอบงำมันอยู่  มันถึงจะว่าง  มันถึงจะผ่องใสขนาดไหน  มันก็ไม่รู้จักตัวมันเอง 

แต่ถ้าพอจิตมันสงบ อรหัตตมรรคเข้าไปจับนะ  ผ่องใสขนาดไหน  เนี่ยจิตผ่องใส  จิตจะว่างขนาดไหน  มันมีผู้ให้ค่า มันมีผู้รับรู้อยู่เห็นไหม  สิ่งนี้ให้ค่ารับรู้อยู่ นี่ไงถ้าเป็นสังโยชน์เบื้องบน  สังโยชน์นะ  รูปราคะ  อรูปราคะ  มานะ  อุทธัจจะ อวิชชา สิ่งที่ผ่องใสๆ นี่  ผ่องใสว่างหมด  มันมี รูปราคะ  อรูปะราคะ  รูปไง  รูปฌาน  อรูปฌาน  รูป  รูปราคะถึงเป็นรูป  รูปนาม  รูปมันก็มีราคะ  มีราคะมีความกระทบมีความพอใจ  อรูปราคะ อรูปความว่างก็มีราคะ  เพราะความว่างตั้งอยู่บนอะไร 

มีมานะ  มานะ ๙ สำคัญตน  เสมอเขาก็สำคัญว่าเสมอเขา  สูงกว่าเขาก็สำคัญว่าสูงกว่าเขา  ต่ำกว่าเขาก็สำคัญว่าต่ำกว่าเขา  ตัดสำคัญตนไม่ได้  เพราะการสำคัญตนมันจึงเกิดมานะ  มานะอันละเอียดในหัวใจนะ  อุทธัจจะ อวิชชา  อุทธัจจะนี่ความเพลิดเพลิน ความควบคุมการกระทำฉันเป็นคนดี  ฉันเป็นคนสุดยอด  มันยึดมั่นถือมั่นทั้งหมดล่ะ  อวิชชานี่ยิ่งไม่รู้เลย  เห็นไหมสังโยชน์เบื้องล่าง  สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส  กามราคะ  ปฏิฆะ ตั้งแต่พระโสดาบันถึงพระอนาคา  เวลาเราปฏิบัติไปสังโยชน์ขาดไป ๕ ตัว 

เวลาขึ้นไปติดถึงสังโยชน์เบื้องบนเห็นไหม เนี่ยพระอนาคา ๕ ชั้น  พระอนาคาพิจารณาไปนี่ปล่อยๆๆๆๆ  ปล่อยไปบ่อยครั้งเข้า  ถ้าพิจารณาอนาคานี้มันจะมีละเอียดของมันไปเรื่อยๆ พอมันปล่อยบ่อยๆ คือมันปล่อยแล้วมันละเอียดเข้าไปๆ จนถึงตัวจิตแท้ๆ  ตัวจิตที่เป็นกามราคะเนี่ย ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่รู้ตรงนี้  ครูบาอาจารย์เราที่ประพฤติปฏิบัติไม่รู้ตรงนี้นะ  เส้นทางของธรรม  มันไม่สิ้นสุดขบวนการเส้นทางธรรมนะ  มันยังเป็นการปฏิบัติไปไม่ถึงธรรม 

มันมีคุณธรรมในหัวใจ  มีขึ้นมาตั้งแต่โสดาบัน  สกิทา  อนาคา  มีคุณธรรม  แต่เส้นทางธรรมมันยังไม่จบในขบวนการของเส้นทางธรรมนั้น  ถ้าจบขบวนการของเส้นทางธรรมเห็นไหม มันต้องเข้าไปถึงจิตเดิมแท้  จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส  จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใสต้องทำลายจิตเดิมแท้อันนี้  แต่การทำลายนี่มันไม่เห็นนะ  ดูสิ อากาศเห็นไหม  ดูสิ ไวรัสมันมา  เขาปกป้องกันเต็มที่เลย เขากลัวติดเชื้อ  มันมาอย่างไรมันมาในอากาศที่เรามองไม่เห็น 

จิตที่ผ่องใสๆ ใครมองเห็นมัน  แล้วใครจะไปจับมัน  มันผ่องใส  มันจับต้องไม่ได้  มันผ่องใสเลย  แต่มันไม่พ้นอรหัตตมรรคนะ  จิตที่มรรคญาณที่มันเป็นอัตโนมัติ  จิตที่มันมีความละเอียดอ่อนของมันเข้าไปจับต้อง  พอเข้าไปจับต้องนะ  เห็นไหมจุดและต่อมของจิต  สิ่งที่เป็นไปของจิต จิตนี่มันจะผ่องใส  จะสว่างไสว  จะว่างขนาดไหน มันมีที่ตั้ง  มันมีผู้รับรู้  มันมีผู้ให้ค่า  จับผู้ที่ให้ค่านั้น แล้วปัญญาอันละเอียด  ที่เราว่าปัญญา  โลกียปัญญา  โลกุตตรปัญญา  ปัญญาของมหาสติ มหาปัญญา  เราว่าปัญญาที่ละเอียดลึกซึ้งนะ ไม่ได้ขี้หมาของปัญญาอย่างนั้นหรอก 

ปัญญาที่มันละเอียดลึกซึ้งที่เป็นปัญญาญาณ ที่จะเข้าไปทำลายอวิชชา มันละเอียดลึกซึ้งกว่าปัญญาที่เราใช้มานี่มหาศาลเลย  แล้วพอเข้าไปทำลายถึงที่สุดของมันแล้ว จิตมันจะทำงานไม่ได้  มันต้องมัธยัสถ์ให้เป็นกลางเพราะขยับไม่ได้  ขยับมันจะตกไปส่วนใดส่วนหนึ่ง  พอเป็นกลางมัชฌิมาปฏิปทา แล้วยุบตัวลง พั้บ  หมดสิ้นขบวนการนะ  เส้นทางธรรมที่สิ้นสุด 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม  แล้วประพฤติปฏิบัติมาวางธรรมและวินัยไว้  ให้พวกเราได้ก้าวเดิน  แล้วธรรมวินัยเกิด วันนี้วันวิสาขบูชา  วิสาขบูชา  วันเกิด  วันตรัสรู้  วันปรินิพพาน วันเกิดของศาสนา  เราเป็นชาวพุทธเราเป็นนักปฏิบัติ  เราปฏิบัติเพื่อเราเห็นไหม  เข้าวัดเพื่อเรา ปฏิบัติเพื่อเรา  ถ้าเราเอาตัวเรารอดได้แล้ว  เราจะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้แก่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ  ดูทางโลกสิ  เขาต้องหาครูหาอาจารย์ที่ดีเพื่อทางวิชาการเขาจะได้มีปัญญาของเขา 

ในการประพฤติปฏิบัติ  กิเลสมันหลอกร้อยแปดพันเก้า  ไม่มีครูบาอาจารย์ได้ที่ผ่านวิกฤตของกิเลสมาจะเอาอะไรมาแนะนำเรา  การแนะนำการสั่งสอนอย่างนั้นหาได้ยากนัก  ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงหาได้ยากนัก  เห็นไหมหลวงตาท่านบอกว่า  หาเพชรหาทองไม่ต้องไปหาที่ไหน  หาบนข้อมือ  บนคอเรานี่แหละเพชรทองเต็มไปหมดเลย  แต่หาครูบาอาจารย์สักองค์หนึ่ง  หาครูบาอาจารย์สักองค์หนึ่ง   ไม่รู้จะหาที่ไหน  เอวัง